
สัญญาหรือพันธนาการ ของค่ายเพลงและศิลปิน
กลายเป็นเรื่องราวที่คนถามถึงกันมาอย่างมากมาย สำหรับเรื่องของสัญญาข้อผูกมัดของค่ายเพลงกับศิลปิน ที่ดูจะเป็นปัญหาที่ทำให้ศิลปินและค่ายเพลงมีความขัดแย้งกัน จนบางกรณีถึงขนาดมองหน้ากันไม่ติด แต่ใครคือคนที่ได้เปรียบ และใครจะเสียเปรียบจากสัญญา ซึ่งถ้ามองในมุมกว้
อย่างกรณีที่เป็นเรื่องเป็นราวอยู่ในขณะนี้ เมื่อ “เฮียฮ้อ” สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ผู้บริหารจากบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ออกมาให้สัมภาษณ์แบบดุเดือด เรื่องสัญญาของ 3 ศิลปินในค่ายทั้ง “บีม” กวี ตันจรารักษ์ พายุ คลาร์ก และ “ลีเดีย” ศรัณรัชต์ วิสุทธิธาดา ซึ่งกรณีของสัญญากับค่าย “อาร์เอส” แตกต่างกัน โดย “บีม” กวี สัญญาหมด แล้วไม่ต้องการที่จะต่อ แต่ไม่ได้คิดย้ายไปไหน เพียงต้องการไปทำงานตามอาชีพวิศวกรอย่างที่เรียนจบมา ส่วน พายุ ที่ขอเดินไปฉีกสัญญา เพราะต้องการไปเรียนต่อ และเนื่องจากตลอดเวลาที่อยู่อาร์เอสมานักร้องหนุ่มยังไม่เคยมีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งสองกรณีแรกยังเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่เรื่องมาเดือดผล่าน ตรงกรณีของเจ้าหญิงอาร์แอนด์บี “ลีเดีย” ที่อาร์เอสผู้ปลุกปั้นรู้สึกเสียหน้าเป็นที่สุด เพราะว่านักร้องสาวตัวขายกำลังจะหมดสัญญา และอาจจะไม่ต่อสัญญา เพราะต้องการไปซบค่ายอื่น
ค่าย “โซนี่ มิวสิค (ไทยแลนด์)” คือค่ายที่ถูกพาดพิงถึง ว่าเป็นค่ายที่ต้องการดูดเจ้าหญิงอาร์แอนด์บีไปอยู่ด้วย และเพราะ “โซนี่” มีประวัติในการดูดคนของ “อาร์เอส” ไปหลายต่อหลายคนทั้งอดีตลูกรักเฮียอย่าง “แดน” วรเวช ดานุวงศ์ หรือกระทั่งมือขวาของเฮีย “ชมพู ฟรุตตี้” สุทธิพงษ์ วัฒนจัง พอมาถึงกรณี “ลีเดีย” เลยทำให้ “เฮียฮ้อ” ถึงกับเก็บอาการความโกรธไว้ไม่ไหว ออกมาแถลงต่อว่าต่อขานเด็กในสังกัดผ่านสื่ออย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
แต่ไม่ใช่แค่ “อาร์เอส” เท่านั้นที่มีปัญหาในเรื่องสัญญาของศิลปิน ค่ายยักษ์ใหญ่อย่างแกรมมี่เคยเกิดปัญหานี้มาแล้วกับซูเปอร์สตาร์สาว ทาทา ยัง ที่สะบัดบ๊อบตีจากค่ายแกรมมี่หันซบค่ายโซนี่ ทั้งที่ตอนนั้นโซนี่เป็นเพียงค่ายเล็กๆ ในเมืองไทยเท่านั้น ต่างจากชื่อเสียงที่ ทาทา มีอยู่ในตอนนั้นอย่างมาก จนเป็นข่าวอึกทึกครึมโครมถึงความบาดหมางใจของ ทาทา ที่มีต่อค่ายผู้ให้โอกาส ไม่ใช่แค่ ทาทา เพราะศิลปินสาวโลกส่วนตัวสูง "ปาล์มมี่" อีฟ ปานเจริญ เองก็ไม่ขอต่อสัญญากับทางต้นสังกัดเดิม แตกต่างกันตรงที่ ปาล์มมี่ เลือกที่จะขอเป็นอิสระ ไม่สังกัดค่ายไหน
แกรมมี่ ยังมีกรณีของ “ไอซ์” ศรัณยู วินัยพานิช ที่เคยเอ่ยปากว่าอาจจะไม่ต่อสัญญากับแกรมมี่ เหตุมาจากความรู้สึกลึกๆ ที่นักร้องหนุ่มไอดอลรู้สึกว่าไม่ได้รับความเสมอภาคเหมือนเพื่อนศิลปินบางคน แต่เพราะการลงมาเจรจาด้วยตัวเองของ “อากู๋” ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ทำให้ ไอซ์ ยอมจรดปากกาเซ็นสัญญาต่อกับแกรมมี่ แต่อาจจะเปลี่ยนแปลงตรงขอย้ายสังกัดย่อยมาอยู่ในความดูแลของค่าย “แกรมมี่ เทเลวิชั่น” แทนที่จะอยู่กับแกรมมี่ ในส่วนกลาง
ปัญหาเรื่องของสัญญาระหว่างศิลปินกับต้นสังกัดมีมาตลอด ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย เพราะอย่างในเกาหลีใต้ วงบอยแบนด์เบอร์หนึ่งอย่าง “ทงบังชินกิ” โดนปัญหานี้เหมือนกัน จนมาถึงวันที่แตกหักต้องใช้มาตรการความยุติธรรมของศาลเป็นตัวตัดสิน แล้วบทสรุปเป็นอย่างที่หลายคนคาดไว้ เพราะ ณ วันนี้ “ทงบังชินกิ” เป็นชื่อวงตำนานของ 5 เทพเจ้าโลกตะวันออกเท่านั้น
ซึ่งกรณีของ “ทงบังชินกิ” แตกต่างจากของไทย ตรงที่ศิลปินต้องการจะฉีกสัญญาทันที โดยไม่รอที่จะหมดสัญญา แต่ของไทยศิลปินส่วนใหญ่เลือกที่จะไปตอนหมดสัญญาแล้ว เพื่อป้องกันการฟ้องร้องที่จะตามมา
สัญญาหรือข้อผูกมัดที่ค่ายเพลงยื่นให้ศิลปินในวันแรกอาจทำให้ค่ายเพลงเป็นผู้ที่ได้เปรียบจากการกอบโกยชื่อเสียงที่สร้างให้ศิลปินคนนั้น แต่ทันทีที่หมดสัญญาสัญญานั้นจะหมดความหมาย และทำให้ศิลปินได้เปรียบจากชื่อเสียงที่ต้นสังกัดสร้างให้ สัญญาจะเป็นแค่ข้อตกลงของค่ายเพลงกับศิลปิน หรือจะเป็นพันธนการที่ผูกมัด มันขึ้นอยู่กับความตกลงปลงใจกันของทั้งค่ายเพลงและศิลปิน ที่ถ้าทั้งสองใช้คติที่ว่าน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ปัญหาต่างๆ เหล่านี้อาจจะไม่เกิดขึ้นในวงการเพลงไทยก็ได้



