บันเทิง

แสงศตวรรษ
แสงนำทางสู่ปัญญา

แสงศตวรรษ แสงนำทางสู่ปัญญา

26 มี.ค. 2552

…‘แสงศตวรรษ’ สร้างขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล ‘นิว คราวน์ โฮป’ อันเป็นโครงการเพื่อสำรวจการจดจำของคนว่า ความสุขนั้นสามารถถูกจุดประกายขึ้นได้จากสิ่งเล็กน้อยที่ดูไม่สลักสำคัญ

 หนังเรื่องนี้คือการทดลองสร้างชีวิต ของพ่อและแม่ในช่วงเวลาก่อนที่ผมจะเกิด รวมถึงชีวิตของผู้คนที่กระทบใจผมในปัจจุบันด้วย มันจะเป็นการตีความถึงวิถีชีวิตอันรางเลือนในความรู้สึก เป็นการตีความสถาปัตยกรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ผมหลงใหลมาตลอด และเป็นการตีความชีวิตของผู้คนร่วมสมัยที่อยู่รายรอบตัวผม เวลาได้ถูกทลายลงเพื่อจำลองรูปแบบของการจดจำ และเพื่อแถลงความเชื่อของผมในเรื่องการกลับชาติมาเกิด เราต่างเกิดใหม่อยู่ตลอด สร้างบาปกรรม และเรียนรู้จากชีวิตที่ใช้มาต่อเนื่อง เพื่อจะพบกับความสุขจริงแท้สักวันหนึ่งในท้ายที่สุด...

 ส่วนหนึ่งจากแถลงการณ์ของ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ที่เขียนขึ้น
 ก่อนการถ่ายทำ “แสงศตวรรษ”เมื่อปี 2548 ใน www.kickthemachine.com <http://www.kickthemachine.com>
 เป็นเวลาร่วมปีที่ชื่อของ “แสงศตวรรษ” ถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้งในฐานะหนังยอดเยี่ยมรางวัล "คม ชัด ลึก อวอร์ด" ครั้งที่ 6 ประจำปี 2551 ซึ่งประกาศผลให้ได้ทราบกันไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาหลังจากเมื่อ 2 ปีก่อน “แสงศตวรรษ” ได้ก่อให้เกิดกระแสวิวาทกรรมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์หนังไทย จนกลายเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เรียกร้องเสรีภาพในการนำเสนอความคิดอ่านผ่านสื่อภาพยนตร์ของคนทำงาน และการเสพรับงานศิลป์ของคนดูต่อกระบวนการพิจารณาของเจ้าพนักงานเซ็นเซอร์ และถึงแม้เราจะได้พระราชบัญญัติภาพยนตร์ฉบับ 2550 แต่ในท้ายที่สุดดูเหมือนว่า เสรีภาพในการดูหนังของคนไทยยังถูกจำกัดและตีกรอบเอาไว้อยู่ดี (พัฒนาขึ้นกว่า พ.ร.บ.ฉบับ 2473 แค่การจัดเรตหนังให้เหมาะกับอายุผู้ชมเท่านั้น)

 “แสงศตวรรษ” เข้าฉายในวงกว้างเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว แต่ก็เพียงแค่ 1 โรง เป็นเวลา 3 สัปดาห์ โดยถูกกองเซ็นเซอร์สั่งตัดหนังเพิ่มอีก 2 ฉาก จากเดิม 4 ฉาก และผู้กำกับอภิชาติพงศ์ ก็แสดงท่าทีอารยะขัดขืน ด้วยการใส่ฟิล์มสีดำเข้าไปแทนที่ในฉากทั้ง 6 ที่ถูกสั่งให้ตัดออก แต่ถึงแม้หนังจะผ่านวิบากกรรมมาแค่ไหน แต่สุดท้ายผลงานชิ้นนี้ก็ได้พิสูจน์คุณค่าในตัวมันเองอยู่ดี

 เราคงไม่พูดถึงรางวัลมากมายที่ “แสงศตวรรษ” ได้รับว่าเหมาะควรสักแค่ไหน แต่ในฐานะคนดูคนหนึ่ง อภิชาติพงศ์ เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ให้แก่ผม ผ่านประสบการณ์จากการดูหนังของเขาอยู่เสมอ... เมื่อปี พ.ศ. 2545 “Blissfully Yours สุดเสน่หา” เป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมเข้าใจว่า การดูหนังสักเรื่อง เราไม่จำเป็นต้องพยายามทำความเข้าใจกับเนื้อหา หรือดูหนังเพื่อให้รู้เรื่องเสมอไป แต่อรรถรสสำคัญอีกอย่างคือการดูเพื่อให้รู้สึก และซึมซับไปกับบรรยากาศที่เขาถ่ายทอดเอาไว้ ส่วนการหาความหมายหรือเข้าถึงประเด็นที่หนังต้องการนำเสนอนั้น เป็นเรื่องของทัศนคติส่วนบุคคลที่จะตีความหรือทำความเข้าใจตามแต่ภาวะวิสัยในการรับรู้ของแต่ละคน เช่นเดียวกับ "Tropical Malady สัตว์ประหลาด” อภิชาติพงศ์จูงผมเข้าไปอยู่ในภวังค์ของโลกที่เขาสร้างขึ้น ผมจำได้ว่าตัวเองหลงอยู่ในบรรยากาศของดงป่า และหาทางออกไม่เจออยู่นาน และก็ไม่ได้พยายามค้นหาว่า เขาต้องการสื่ออะไรในหนัง มากไปกว่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในโลกแห่งความลึกลับของตัวละครและเสียงหริ่งหรีดเรไร รวมถึงสายลมพัดไกวยอดไม้ไหวเอนที่วนเวียนในห้วงคำนึงอยู่หลายวัน ขณะที่ “Syndromes and a Century แสงศตวรรษ” เป็นหนังที่ดูผ่อนคลาย และประนีประนอมกับคนดูมากขึ้น แน่นอนว่าสารต่างๆ ในหนังก็พลอยง่ายต่อการรับรู้และทำความเข้าใจมากขึ้นเช่นกัน

 ดูเหมือน อภิชาติพงษ์ จะละวางการเป็นคนทำหนังอย่างสุดโต่งลงไปบ้างในหนังเรื่องนี้ ขณะเดียวกันแง่มุมทางศิลปะ ยังคงปรากฏอยู่เรียงรายฉายฉานทั่วไปในหนังของเขาไม่บกพร่อง และแน่นอนว่า แง่มุมความเป็นส่วนตัวยังคงถูกพิทักษ์รักษาเอาไว้อย่างแน่นเหนียว ทว่าหนังเรื่องนี้ของเขา เลือกจะเล่าความเห็นส่วนตัวน้อยลง และหันไปครุ่นคิด ถึงเรื่องราวของบุพการี แล้วนำแรงบันดาลใจในความรักของผู้เป็นพ่อแม่ มาถ่ายทอดเป็นหนังโดยจำลองบรรยากาศในสองลักษณะระหว่างสังคมของคนต่างจังหวัดในชุมชนเล็กๆ และบรรยากาศของเมืองใหญ่ที่นอกจากเต็มไปด้วยผู้คนมากมายหลายรูปแบบ ยังแวดล้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างน้อยใหญ่เกะกะละลานตาหนาแน่นไม่น้อยไปกว่าปริมาณผู้คน

 ดูเหมือน อภิชาติพงษ์ ยังคงซื่อสัตย์ต่อความคิดตัวเองอย่างมั่นคง เพราะหากย้อนกลับไปอ่านถ้อยแถลงของเขาที่ออกมาประกาศถึงจุดมุ่งหมายในการทำหนังเรื่องนี้ให้ได้ทราบ ก่อนลงมือถ่ายทำผ่านทางเว็บไซต์ของเขา...แม้จะมีโจทย์ในการทำหนังกำหนดไว้ว่าต้องเป็นเรื่อง ‘ความสุขสามารถถูกจุดประกายขึ้นได้จากสิ่งเล็กน้อยที่ดูไม่สลักสำคัญ’ ก็ดูเหมือนว่า อภิชาติพงษ์ พาตัวเองเดินตามโจทย์ที่ว่านั้น และตัวเขาก็ดูจะมีความสุขกับการเล่าเรื่องพ่อแม่ของตัวเองผ่านงานศิลปะที่เขาถนัดและหลงรักมันอย่างจริงจังอย่างภาพยนตร์ เห็นได้จากแง่มุมของการมองโลกด้วยสายตาอันรื่นรมย์ ที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในครึ่งเรื่องแรก...

 ขณะเดียวกัน ถ้อยแถลงที่บอกว่า ‘เพื่อแถลงความเชื่อของผมในเรื่องการกลับชาติมาเกิด เราต่างเกิดใหม่อยู่ตลอด สร้างบาปกรรม และเรียนรู้จากชีวิตที่ใช้มาต่อเนื่อง เพื่อจะพบกับความสุขจริงแท้สักวันหนึ่งในท้ายที่สุด’ ก็ดูจะชัดเจน เมื่อหนังดำเนินมาสู่ครึ่งเรื่องหลังกับตัวละครชุดเดิม ประโยคสนทนาเดิมๆ พฤติกรรมเดิมๆ ของตัวละครบางคน หากแต่ดำเนินอยู่บนโลกสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยเครื่องจักรกลทันสมัย ในป่าคอนกรีตของตึกรามบ้านเรือน ขึ้นกันหนาแน่นยิ่งกว่าพงหญ้า คล้ายกับบอกเล่าความเชื่อของตนว่า ทุกคนกลับมาเกิดได้ใหม่ในต่างกรรมต่างวาระอยู่เสมอ...จากการทำงานศิลปะมาต่อเนื่องยาวนาน(นอกจากหนังแล้ว อภิชาติพงศ์ยังทำงานศิลปะจัดวางหรือ Installation อย่างสม่ำเสมอ) มาถึงวันนี้ ประสบการณ์มากมายที่ผ่านพบ ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ต่อสู้ และมุ่งมั่นกับการทำงานที่ตัวเองรักต่อไป เขาได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่ปฏิเสธนำ “แสงศตวรรษ” ออกฉายหากต้องถูกตัดส่วนหนึ่งส่วนใดในหนังออกไป (เขาเปรียบเทียบเหมือนตัดแขนขาของลูกรัก) และอีกครั้งเมื่อตัดสินใจนำหนังออกฉายแบบถูกตัด แต่ก็ใช้วิถีทางต่อต้านอย่างสงบ ด้วยการเลือกปล่อยภาพจอดำเป็นการไว้อาลัย และนำรายได้จากการฉายทุกรอบมอบให้มูลนิธิหนังไทยแทนที่จะเอาเข้ากระเป๋าตัวเอง...และไม่ว่าชะตากรรมของ “แสงศตวรรษ” จะเป็นอย่างไร ผมก็ขอแสดงความคาราวะต่อหัวใจอันมุ่งมั่น และขอให้คุณอภิชาติพงศ์มีแรงใจในการทำหนังเรื่องต่อๆ ไปครับ...

"ณัฐพงษ์ โอฆะพนม"