
เป็นเพราะ "แวมไพร์ คัลเจอร์"
เป็นเพราะ แม้ตัวละครอย่าง "เจค็อบ" ในหนังจะมาหลังคู่พระคู่นาง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีบทบาทน้อยกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำหนักของตลาดใหม่ๆ ที่ค่อยๆ สร้างขึ้นจากภาพลักษณ์ที่มุ่งคนดูเพศที่สาม ด้วยรูปร่างที่กำยำ ที่ถ้ารถสิบล้อวิ่งมาชน ตัวรถอาจจะพังได้ อย่าง
เที่ยงๆ ของวันอังคารที่ผ่านมา ผมกับทีมงาน Cinema Now ! รายการหนังทางทีวีของ MANGO TV ไปถ่ายตอนวิเคราะห์ twilight 3 พารากอน ระหว่างเดินขึ้นจากชั้น 1 ไปชั้นโรงหนัง ผมพบสินค้าที่มี "ภาพลักษณ์" ของแวมไพร์ราวๆ 9 อย่าง มองเผินๆ มันก็คือการโฆษณาประชาสัมพันธ์หนังป๊อปปูลาร์เรื่องหนึ่ง แต่พอมองรอบๆ บรรยากาศหรือส่วนของ context แล้ว เราจะพบว่า twilight ได้ก้าวขึ้นมาเป็น
"หนังแฟรนไชส์" ชัดเจน ด้วยสูตรทางการตลาดยุคใหม่หลายอย่าง
1.การตลาด Gay-Subliminal
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เจค็อบคือคาแรกเตอร์ที่คนดูเพศที่สามเอาใจช่วย (หรือแม้แต่เพศปกติก็ตาม) การมีอยู่ของเจค็อบ ด้วยการเลือกนักแสดงแบบนี้ ตรงกับการตลาดสมัยใหม่หลังยุค ฟิลิป คอย์ทเลอร์ ที่ว่าด้วยเพศแอบแฝงในสินค้า ซึ่งถือว่าเวิร์กไม่น้อย แต่สำหรับผม ยังคงรักเดียวใจเดียว ปักหลักหนักแน่น รอคอย แต่ตอนนี้ แวมไพร์ถูกหนังยุคใหม่เปลี่ยนรูปลักษณ์และอิมเมจใหม่หมด เป็นคนหล่อคม หุ่นดี และมีจิตใจในแบบมนุษย์ หลายๆ ครั้ง หนังเว้นช่องให้แวมไพร์รู้สึกถึงความอ่อนไหว สะเทือนใจและเปราะบางในบางที เพื่อสะท้อนถึงความเป็น แต่มันไม่ใช่แวมไพร์แบบ แต่ผมนั้นไม่แน่นอนครับท่าน
ไม่งั้น เดี๋ยวจะถูกค่อนแคะ แขวะกัดว่า เป็นพวกแวมไพร์ขี้คุย เพราะแข่งบอลนานาชาติทีไร สิงโตคำราม กลายเป็นสิงโตเสียหมา เอ๋งเอ๋ง ทู้กที- เนื่องเพราะผมได้ขายตัวตน ขายวิญญาณและเป็นทาสสมบูรณ์แบบให้กับ "ผีแดง" แมนยูฯ ไปหมดแล้ว (ฮา)
2.การแย่งชิง meaning ให้แวมไพร์สมัยใหม่ ไม่ต้องไปนับแดร็กคูล่าของ บราม สโตเกอร์ หรือที่คลาสสิกอย่าง นอสเฟอร์โรตูของเยอรมัน ที่มีเรื่องมีราวโดนฟ้องร้องในตอนนั้น ในยุคหนึ่ง แวมไพร์ก็คือภาพของตัวละครที่มีเขี้ยวยาว หน้าตาดุเหี้ยม แต่งตัวด้วยผ้าคลุมดำและออกมาเพ่นพ่าน แค่ในเวลาเดียวกับถ่ายทอดสดบอลโลกคู่ดึกเท่านั้น
3.สูตร "ไทรแองเกิล" โดยหลักๆ ไม่มีการแบ่งแยกอย่างชัดเจนว่า ต้องเป็น "รักสามเส้า" ถึงจะเรียกว่าสูตรไทรแองเกิลได้ เพราะในหนังเกี่ยวกับ formular plot ที่เขียนโดย ริชาร์ด แมคเคซีย์ นั้นอธิบายไว้ว่า อะไรที่มันเป็นสามส่วน สามฝ่าย สามข้าง ก็เข้าล็อกของไทรแองเกิลทั้งนั้น (ยิ่ง เราสองสามคน ไม่ต้องห่วง หนังที่ผมเอนจอยกับการดูเรื่องนี้ ใช่อย่างชัดเจน) เคยมีการตั้งข้อสังเกตว่า ในบรรดาพล็อตหนัง 30-40 พล็อตนั้น สูตรหนึ่งที่ใช้แล้วคนดูอ่อนไหว มีอารมณ์ร่วม ราวกับเป็นชีวิตตัวเองก็คือ สูตรสามเส้าหรือไทรแองเกิลนั่นเอง
4.ส่วนประกอบเหล่านี้ ผลักให้คนดูต้องการ "อะไรสักอย่าง" มาทดแทน และเมื่อเรื่องราวใน twilight มันคือโลกแห่งความฝันสวยงาม มันก็เข้ามาถมทับ อุดช่องว่างพอดี (ใครไม่เชื่อลองไปดูปี 1997 ที่เศรษฐกิจบ้านเรา หนังอย่าง นางนาก และ titanic กวาดเงินไปรวมกันเกือบ 400 ล้านบาท)
แวมไพร์เป็นแฟนบอลทีม "เยอรมัน"
5.มีมุกตลกของแท็บลอย์ดอังกฤษบอกว่า แวมไพร์น่าจะเป็นแฟนทีมเยอรมัน เพราะมันถูกนำไปทำเป็นหนังอย่างเป็นทางการและโดนฟ้องด้วยทุนของเยอรมัน มิหนำซ้ำยังเป็นแวมไพร์ที่ลุ่มลึกที่สุด และนักวิจารณ์ทั่วโลกชื่นชอบ แต่เอาเถอะ ! จะเป็นแฟนทีมเยอรมันหรือทีมอะไรก็ช่าง อย่าเป็นแฟนทีมสิงโตคำรามแล้วกัลล์
โลกที่ผู้คนอยากหลีกหนี(ไปเสียที) คุณผู้อ่านลองชายตามองรายได้ของหนังปี 2010 ใน 6 เดือนแรกดูสิครับ เราจะพบว่าหนังที่ได้รายได้สูงสุดกลุ่มแรก คือ หนังพวกพาฝัน(escape) ไม่ว่าจะเป็นเชร็ค หรือ iron man และแน่นอนว่าจะต้องเป็น twilight 3 ด้วย เรื่องแบบนี้เป็นทฤษฎีระหว่าง "จิตวิทยาสังคม" กับหนังที่ไม่ได้ตั้งใจจริงจังมาตั้งแรก ความที่เศรษฐกิจตกทั้งโลก
การเมืองรบราไม่เลิก สถิติหย่าร่างสูงขึ้นเรื่อยๆ twilight แฟรนไชส์ พอทีมงานสร้างความหมายใหม่ให้ ตอนนี้ใครๆ ก็อยากเป็นแวมไพร์ หรือมีผัวเป็นแวมไพร์ (อะไรแบบนั้น)
human ไม่เหมือนแดร็กคูล่ายุคก่อนที่ออกมาทำร้ายเหยื่อ แสยะยิ้มและจากไป จนตัวละครแทบไม่ได้ผูกพันอะไรเลย
"น้องเบลล่า" เท่านั้น ส่วนแวมไพร์โรเบิร์ต ช่างหัวมัน เอ๊ย เขา
"นันทขว้าง สิรสุนทร"