บันเทิง

พรมแดนของโลกมายา - คารายาน

พรมแดนของโลกมายา - คารายาน

25 มิ.ย. 2553

อัลบั้มดีวีดี Herbert Von Karajan - Maestro For The Screen หนังสารคดีโดย George Wubbolt ออกวางปี 2008 หนังสารคดีเรื่องนี้ทำบทขึ้นจากกลุ่มบุคคลที่เคยร่วมงานกับคารายาน วาทยกรของวงเบอร์ลิน ฟิลฮาร์โมนิก ชาวเยอรมัน สาระสำคัญของสารคดีเรื่องนี้แม้จะไม่ได้เน้นชี

 คารายาน ยอมรับบทบาทของสื่อทีวีครั้งแรกเมื่อครั้งออกทัวร์ญี่ปุ่นครั้งแรกปี 1957 เขาเล่าว่าออกทีวีครั้งนั้นมีผู้ชมประมาณ 18-20 ล้านคน จากจุดนี้เองที่ทำให้เขาสนใจในการบันทึกถ่ายทำหนัง จนถึงขั้นที่ว่าจะต้องลงมาทำด้วยตนเอง ด้วยเหตุผลง่ายๆ อยากให้ตัวเองออกมาดูดี อีกมุมหนึ่งในบริบทเดียวกับภาพของ Leonard Berstein ปรากฏขึ้นในหนังขาวดำ ตัดภาพมาสู่การควบคุมการซ้อมวงดนตรีของคารายาน และแสดงคอนเสิร์ตที่ถูกบันทึกในรูปแบบหนังขาวดำ 16 มม. แทรกเข้ามาเป็นบางช่วง บางทัศนะเล่าว่าเขารู้สัมผัสได้ถึงศักยภาพของเทคโนโลยี เข้าใจในบทบาทของมันทั้งในระยะใกล้และไกลถึงอนาคต จนมีโอกาสได้ร่วมงานกับ ลีโอ เคิร์ช ในปี 1986 พวกเขาร่วมทุนกันก่อตั้ง Cosmotel ขึ้นและได้ Henri Clouzot มาร่วมงานด้วย คารายานยอมรับว่าเขาเก็บรับบทเรียนทางด้านเทคนิคจาก Clouzot มาไม่น้อย ตอนนั้นเขาถือตัวว่าเป็นแค่นักทดลองเท่านั้น

 หนังใช้ภาษาเยอรมันและมีคำบรรยายหลายภาษายกเว้นภาษาไทย แต่ภาพแบ็กกราวด์ที่เป็นภาพนิ่งรวมทั้งภาพเคลื่อนไหว ล้วนมีชีวิตชีวาและมีความเป็นศิลปะ มีบทเพลงซิมโฟนีแทรกอยู่ตลอดทั้งช่วง กับนีเบลิง (Niebeling) การร่วมกันใน “Pastoral” พวกเขาถูกวิพากษ์ จนต้องมีการตัดต่อใหม่อีกครั้ง อีกมุมหนึ่งหนังได้สะท้อนการทำงานของช่างกล้อง ในการเก็บรายละเอียดของภาพนักดนตรี ตลอดจนภาพการทำงานในสตูดิโอของคารายาน

 เมื่อครั้งเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 80 ทางบริษัทโซนี่ได้ให้เขาสัมผัสกับเทคโนโลยีรุ่นล่าสุดนั่นคือ ซีดี เขาพึงพอใจมาก ผู้ให้สัมภาษณ์ยังพูดพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัวของเขาอีกมากมาย ในปี 1982 คาราญาณได้ก่อตั้งบริษัท Telemondial ร่วมกับ Ernst Wild หัวหน้าช่างภาพ เขาไม่อยากเห็นงานดนตรีของเขาวูบหายไปจากความทรงจำของผู้คนหลังจากที่เขาจากโลกนี้ไปแล้ว นั่นคือเหตุผลสำคัญ เขาอยากบันทึกผลงานชิ้นสำคัญทิ้งไว้ ได้เห็นมันก่อนตาย แทนที่อนุสาวรีย์ในสวนสาธารณะกลางเมือง สิ่งที่ทิ้งเอาไว้คือดนตรีที่ให้ความสุขแก่ประชาชน

 ในช่วงปลายเขากับวงเบอร์ลินฟิลฮาร์โมนิกมีปัญหาความขัดแย้งอยู่บ้าง แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับปัญหาสุขภาพทรุดโทรมของเขา เขาดูเหมือนถูกโดดเดี่ยว ถูกผู้คนไม่น้อยมองว่าเป็นเผด็จการ เลขานุการส่วนตัวของเขาเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือถึงวันที่เขาลาจากโลก 16 กรกฎาคม 1989 เสียงโทรศัพท์มาเช้าผิดปกติ กับเพื่อนสนิทอีกคน นอริโอะ โอกะ อดีตประธานบริหารบริษัทโซนี่ ที่ได้เห็นตอนที่เขาล้มลง จบชีวิตลงด้วยโรคหัวใจล้มเหลว

 คมวาทะของคารายานที่ถูกบันทึกไว้ในหนังเผยผ่านยิ้มใสๆ ว่า “ผมมีความเชื่อเต็มเปี่ยมว่าคนคนหนึ่งมีชีวิตมากกว่าชีวิตหนึ่ง ผมจึงบอกคุณได้ว่า ผมเชื่อว่าผมได้กลับมาแน่” ผมชอบคมวาทะของเกอเต้ ทัศนะของเขาถือว่าหยิบยืมมาเท่านั้น

" วีระศักดิ์ สุนทรศรี "