'เม พรีมายา' VS 'คลินิกดัง' โต้กันยับกลางโซเชียล งัดหลักฐานแฉกันสนั่น | คมชัดลึก

 

ทำเอาวงการธุรกิจความงามร้อนระอุ หลังจาก เม-พรีมายา ออกมาแฉคนสนิทที่ไว้ใจ "ฮุบธุรกิจ" โดยอ้างว่าถูกกีดกันไม่ให้เข้าถึงข้อมูลบริษัทที่ตัวเองร่วมก่อตั้ง แต่ทางฝั่งคลินิก Dermatige Aesthetics ก็ไม่อยู่เฉย ออกแถลงการณ์สวนกลับทันที ยืนยันข้อมูลของอีกฝ่ายเป็นเท็จ สร้างความเสียหายต่อแบรนด์ งานนี้ต่างฝ่ายต่างงัดหลักฐานเข้าสู้ ใครกันแน่ที่พูดความจริง ต้องติดตาม!

 

ฝั่ง 'เม พรีมายา': อ้างถูกกีดกัน-เปลี่ยนเงื่อนไขหุ้น

 

จากโพสต์สุดเดือดของ เม พรีมายา เจ้าตัวยืนยันว่าคลินิกทั้งสองชื่อคือ "พริมยา คลินิก" และ "Dermatige Aesthetics" คือบริษัทเดียวกัน เพียงแค่เปลี่ยนชื่อและรีแบรนด์เพื่อแก้ปัญหาช่วงที่ตนเองมีข่าว โดยเธอในฐานะผู้ถือหุ้นพยายามขอตรวจสอบบัญชีและการเงิน แต่กลับถูกปฏิเสธ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของกิจการที่ร่วมสร้างมาได้

 

สิ่งที่ทำให้เธอยิ่งรู้สึกไม่เป็นธรรมคือเงื่อนไขใหม่ที่ถูกยื่นมาเมื่อต้องการกลับไปถือหุ้นตามเดิม เช่น ต้องให้คนอื่นถือหุ้นแทนและไม่สามารถออกหน้าได้ โดยมีข้อเสนอว่าจะได้หุ้นคืนเพียง 25% เฉพาะสาขาเดิม และห้ามออกหน้า หรือหากไม่กลับไปบริหารต่อ จะได้หุ้นเพียง 12.52% ครอบคลุมทุกสาขา แต่ก็ห้ามออกหน้าเช่นกัน เธอมองว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงสิทธิ์ที่ผิดปกติ และมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินของบริษัท พร้อมทิ้งท้ายว่าเรื่องที่ออกมาเล่าเป็นเพียงมุมมองส่วนตัวเพื่อทวงถามความโปร่งใสและหลักธรรมาภิบาลในการทำธุรกิจร่วมกัน

 

 

ฝั่ง 'Dermatige Aesthetics': โต้กลับ 'ข้อมูลบิดเบือน' พร้อมงัดคำสั่งศาลสู้

 

ไม่นานหลังจากที่ เม พรีมายา โพสต์แฉ ทางคลินิก Dermatige Aesthetics ก็ออกแถลงการณ์โต้กลับทันที โดยระบุว่าข้อมูลที่ถูกกล่าวถึงในโซเชียลมีเดียเป็นข้อมูลบิดเบือนและสร้างความเสียหายต่อแบรนด์ พร้อมเผยว่าเรื่องนี้ได้มีการฟ้องร้องดำเนินคดีและศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้องแล้ว 1 คดี

 

ทางคลินิกอ้างว่าช่วงปี 2566 เมื่อตอนที่ยังใช้ชื่อแบรนด์เดิมคือ "พริมยา คลินิก" อีกฝ่ายมีปัญหาส่วนตัวจนเป็นข่าวใหญ่ ทำให้ยอดขายตก ลูกค้าไม่ใช้บริการ ต้องปิดสาขาบางส่วน หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็เสนอขายหุ้นและลาออกจากการเป็นกรรมการ เนื่องจากบริษัทมีผลประกอบการไม่ดี ผู้ถือหุ้นที่เหลือจึงต้องสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาเพื่อกู้วิกฤติต่อ และยืนยันว่าอีกฝ่ายไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด

 

คลินิกยังระบุอีกว่า ฝั่งของ เม พรีมายา พยายามให้ข้อมูลเท็จและแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายครั้ง พร้อมย้ำว่าหลักฐานที่อีกฝ่ายนำมาเผยแพร่ไม่ตรงกับเอกสารจริงที่ใช้ในศาล และปิดท้ายด้วยคำคมสุดคมคายว่า "ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย และทองแท้ไม่กลัวไฟ"

 

 

 

 

จับตาสงครามหลักฐาน: ใครกันแน่ที่ต้องรับผิดชอบ?

การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่สงครามในโซเชียล แต่เป็นการงัดหลักฐานและเอกสารทางกฎหมายเข้าสู้กันอย่างดุเดือด ในเมื่อต่างฝ่ายต่างยืนยันว่าตัวเองคือผู้บริสุทธิ์และมีหลักฐานที่แน่นหนา งานนี้คงต้องปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ตัดสินว่าใครคือคนที่พูดความจริงและใครคือคนที่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น