บันเทิง

เกิดอะไรขึ้น? "ป้าตือ" เปิดใจเล่า.. อดีตถูกมองว่าแรง คนกลัวจนไม่กล้าเข้าหา

เกิดอะไรขึ้น? "ป้าตือ" เปิดใจเล่า.. อดีตถูกมองว่าแรง คนกลัวจนไม่กล้าเข้าหา

04 ก.ย. 2568

“ป้าตือ” เผยเบื้องหลังการกลายพันธุ์ทางพลังงาน เปิดใจยุคนี้พูดตรงได้ อดีตถูกมองว่าแรงสู่ไอดอลที่เด็กๆ รุมรัก! อยู่ร่วมกับทุกเจนตั้งแต่ Baby Boomer ยัน Gen Z

 

เผยเบื้องหลังการกลายพันธุ์ทางพลังงาน ป้าตือ สมบัษร  ไอดอลแห่งโลกออนไลน์ในวัย 63 ผู้อยู่ทุกยุค! ที่ยังสนุกกับการทำงานและการใช้ชีวิต เล่าปรับตัวเข้าใจความแตกต่างระหว่างวัย อดีตเคยถูกมองว่าแรง สู่ความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ทำให้การสื่อสารที่ตรงไปตรงมาเป็นที่ยอมรับมากขึ้น เปิดวิชาอยู่ร่วมกับทุกเจนตั้งแต่ Baby Boomer ยัน Gen Z ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และกลุ่มเพื่อนเพื่อสร้างความสุขและเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มได้อย่างกลมกลืน ในรายการ WOODY FM 

 

คนอาจจะยังสงสัยว่า ป้าตือ อายุเท่าไหร่แล้ว ?

ป้าตือ : 63 สำหรับฉันคือไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอายุ 63 นี่พูดจริง ๆ นะ ถ้าคนไม่ถามเรื่องอายุ ก็จะไม่ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเลข 63 ลอยเข้ามา 

 

 

พลังงานในการเปลี่ยนไป จากที่คนไม่กล้าเข้าหาคนกลัว กลายเป็นว่าคนเข้าหาเยอะมากโดยเฉพาะเด็ก ๆ เกิดอะไรขึ้นในตัวป้า ?

ป้าตือ : เด็กไม่น่าจะกลัว เด็กคงจะเกรงกลัวด้วย คือถ้าเราไม่ได้พูด จะเป็นคนที่ดูนิ่งที่สุด คิดว่าด้วยภาพรวมและความแบบนิ่ง ๆ บางทีภาษากายของเรามันเคลื่อนไหวน้อย ถ้าเวลาอยู่นิ่ง ๆ ภาษากายมันจะไม่พูดอะไรเลย แล้วคนจะจับทางไม่ถูก ประกอบกับการใส่แว่นดำ ประกอบกับการที่เราคิดอะไรอยู่ในหัว มันก็เลยจะไม่ได้แบบว่าโฟกัสกับสิ่งรอบข้าง เป็นไปได้ว่าคนรอบข้างจะรู้สึกว่าคนนี้อย่าไปยุ่งกับมันนะ อาจจะเจออะไรบางอย่างในตัวที่อาจจะตู๊ม! ขึ้นมาได้ แต่จริง ๆ ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ สมองฉันนี่โล่งหมดเลย

 

เรื่องของการ Connect กับคน เห็นตัวเองว่าต้องปรับอะไรด้วยไหม ? 

ป้าตือ : จริง ๆ เป็นคน Connect กับคนตั้งแต่วัยเด็กแล้วนะ แต่ว่าการ Connect ของเรา มันอาจจะเป็นในเวลาที่ไม่ถูกต้อง คือเป็นคนพูดตรง เป็นคนพูดจริง เป็นคนไม่โกหกคน ต้องยอมรับอย่างหนึ่ง มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่มนุษย์จะไม่สามารถที่จะฟังเรื่องที่เป็นความจริงได้ แต่มันไม่เหมือนยุคนี้ ยุคนี้มันเป็นยุคที่มนุษย์สามารถฟังความจริงได้หมดทุกอย่าง และก็ดีเบตกันได้ มันก็เลยทำให้คนเรามันลดการมีแก๊ปเกิดขึ้น สมัยก่อนเป็นคนพูดตรง พูดชัด พูดสิ่งที่ต้องการตรงประเด็น เร็ว กระชับ ไม่มีเวลารอ แล้วคนก็อาจจะรู้สึกว่า คนนี้ Aggressive แต่ว่าจริง ๆ แล้วก็คือว่าไม่ ฉันพูดความจริง ความต้องการฉันแค่นี้เอง แต่เธอดันไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันสื่อสารกับเธอ

 

 

แล้วทำไมเอเนอร์จี้ที่ตรง กระชับ ในอดีตทำไมสังคมรับเราไม่ได้ แล้ววันนี้กลับกลายเป็นว่ามันเป็นเรื่องรับได้มากขึ้น เพราะอะไร ?

ป้าตือ : มันมีคนประเภทนี้เยอะขึ้นในโลกใบนี้ที่พูดชัด พูดตรงประเด็น และพูดซ้ำ ๆ ซิกมันด์ ฟรอยด์ บอกว่า 16 ครั้ง ครั้งที่ 17 ของขมจะกลายเป็นของหวาน เพราะฉะนั้นจะมีคนประเภทนี้เกิน 16 คนในโลกใบนี้ ฉันเชื่อในทฤษฎี ซิกมันด์ ฟรอยด์ แล้วเป็นอย่างนั้นกับเราด้วยนะ เราก็มา Adapt ด้วยนะ สิ่งที่เราพูดบางทีเราอาจจะพูดชัด ตรง เสียงดัง เพราะเราหูตึง แต่จริง ๆ แล้ว เราเรียนรู้อย่างหนึ่งว่าคนบางคนถ้าเค้าเป็นคนประเภทนี้ เราจะต้องมีวิธีการพูดชัดตรงแบบนี้กับเขา คือต้อง Tailor-Made ในการพูดใหม่

 

 

งั้นสมัยก่อนก็เปิดกว้างเลยเป็นลำโพง คือกระจายเลยไม่ได้ Tailor-Made ?

ป้าตือ : มันพูดผ่านไมค์เลย ใครจะคอนโทรลไมค์กับลำโพงได้สมัยก่อน แต่สมัยนี้คือมันอาจจะมีเรื่องของการที่เราอยู่ร่วมกันกับคนหลาย ๆ ประเภท คือตอนนี้เพื่อนเรา ไม่ได้เป็นเลเวลเดียวกันตลอด เพื่อนเรามีทั้งแบบอายุมาก อายุน้อยไปจนเด็ก แบบว่าอายุ 20 อายุ 10 กว่าก็มี มันก็จะต้องมีการที่เราจะต้องอยู่กับเขา ภาษาที่ใช้ หรือวิธีการใช้ชีวิตร่วมกัน มันคือต้อง Tailor-Made แต่ละกลุ่มให้ต่างกันจริง ๆ นะ แต่ก็ไม่ได้ Fake ก็คือเป็นใน Way ที่เราเป็น ถ้าเกิดว่าเราไปอยู่กับกลุ่มนี้ๆ แล้วเราเหมือนกันหมด เราจะไม่มีเพื่อน อันนี้คือสิ่งที่เรียนรู้ 

 

 

แล้วเวลา Tailor-Made จาก Gen Baby Boomer ไป Gen Z, Gen X, Gen Y , Alpha สื่อสารยังไงแต่ละกลุ่ม มีวิธีที่ต่างกันยังไง ?

ป้าตือ : คือสมมุติว่าเพื่อนที่เป็นกลุ่มแบบ Baby Boomer กลุ่มเพื่อนเรา จะรู้ทันทีว่าสิ่งหนึ่งที่เราจะอยู่กับเขา จะไม่พูดเรื่องความแก่ จะไม่พูดในเรื่องดราม่าของชีวิตเขา จะพูดในเรื่องของสุขรายวันกันเถอะ ความสุขที่เหลือ มีความสุขไปวัน ๆ สุขรายวัน ทำความดีวันละ 1 ข้อ แล้วก็จะพูดอย่างงี้ แล้วก็ Enjoy กิน เที่ยว ใช้ชีวิตด้วยกัน แล้วก็พูดเรื่องที่มันเป็นอดีตที่มันตลก จะไม่พูดเรื่องอดีตที่มันเป็น Trauma และก็จะบอกว่ามันมีสิ่งใหม่นี้เกิดขึ้นมาแชร์กัน จะไม่มีการพูดเรื่องที่มัน Toxic ไม่มา Gossip อะไรแบบนี้ เราจะสร้าง Environment กับเพื่อนเรากลุ่มนี้ เพราะกลุ่มนี้ 60 กว่าทั้งนั้น และจะไม่พูดเรื่องการตาย เรารู้อยู่แล้วว่าอุโมงค์สุดปลายทางเดินไปตรงไหน แต่เราเก็บเกี่ยวความสุขระหว่างทางไป สำหรับตือนะเพื่อนกลุ่มนี้เรื่องการเจ็บป่วยของพ่อแม่เขา การเจ็บป่วยของคนในครอบครัวเขา หรือเรื่องเกี่ยวกับ Finance ของครอบครัวเขา เราเลือกที่จะไม่คุย เพราะว่าถ้าเขาจะคุยส่วนตัว แต่ถ้าอยู่ในกลุ่มจะไม่คุย เพราะว่าเราถือว่าเรื่องอย่างงี้บางทีมันเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะต้องมานั่งแชร์ให้หมดเลย มันควรจะเป็นเรื่องที่เรารับฟังแล้วก็ไม่ได้มี Solution ให้เค้านะ แต่จะบอกว่าเธอคิดว่าอยากทำยังไง ฉันเชื่อในการตัดสินใจของเธอ มันคือการให้พลัง ให้กำลังใจกับเพื่อนกลุ่มนี้ 

 

 

กลุ่ม Generation X 

ป้าตือ : กลุ่ม X สำหรับตือ กลุ่มนี้สิ่งที่ตือคุยกับเขา คิดว่าเขาเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างจะแข็งแรง และก็มีตัวตนแล้ว มีความเป็นอยู่ที่ดี สถานะการเงินทุกอย่างแข็งแรงหมดแล้ว สิ่งที่ตือคุยกับเขาจะไม่คุยเรื่องพวกนี้เลย จะคุยเรื่องเกี่ยวกับว่า เธอ เราไปหาอะไรใหม่ ๆ ทำกันดีกว่า เช่น เราไปทำอะไรในสิ่งที่เราไม่เคยทำ เพราะอะไร เพราะคนพวกนี้เขา Secure อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาต้องการการเจออะไรใหม่ ๆ อย่างล่าสุด ไปเที่ยวบาร์ข้าวสาร ทุกคนกรี๊ด คือทุกคนก็จะมีความสุขกับว่ามันมีโลกแบบนี้ด้วย แล้วทุกคนก็จะมีความสุขกับการได้ไปเที่ยว หรือว่าพาไปกินอาหารที่มันเป็นเพิง คือปกติมันก็ไป Michelin กันไปต่าง ๆ แต่เราก็บอกว่า อันนี้อร่อยมากไปกิน คือจะเน้นกิน เน้นเที่ยว เน้น Enjoy 

 

 

กลุ่ม Generation Y 

ป้าตือ : อันนี้สำหรับตือ เป็นกลุ่มที่คิดว่าเค้ากำลังเริ่มที่อยากจะมีความมั่นคงในชีวิต รู้สึกว่ากลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ถ้าเราทำตัวเป็นครู ทำตัวเป็นพี่มันเมื่อไหร่ มันจะไม่อยากคุยกับเราทันที เราต้องเป็นเพื่อน แล้วเราก็รู้สึกว่าการเป็นเพื่อนของมันคือ ถ้าเขาถามเราตอบ และเราจะไม่บอกว่า แกต้องอย่างงี้ ๆ อย่าไปแบบอย่าไปทำตัวเป็นแม่ เป็นพี่มัน คือพอถ้าเราไปทำตัวอย่างงี้ มันจะรำคาญเรา เพราะว่าเขาก็มีสิ่งที่กำลัง Find out กับชีวิตอยู่แล้ว แต่เพียงแต่ว่าบอกว่า แกทำอะไร โอเค เอามานี่ฉันช่วยแก อะไรอย่างงี้ เราก็จะมีวิธีการที่จะเข้าไป Support มาเดี๋ยวฉันช่วยนี่แกฉันมีคนนี้ ฉันแนะนำให้แกรู้จักคนนี้นะ ก็จะมีการเอา Connection ของคนเจนนี้มามาผสมกับเจนนี้มาเจอกัน แต่คนกลุ่มเนี้ยเขาก็จะต้องชอบเที่ยวกลางคืน ดิฉันก็จะต้องกลายเป็นแบบว่าราตรีกับพวกเขาได้ แต่ไม่ได้แบบทุกวัน ไม่ใช่ อาทิตย์หนึ่งครั้งหนึ่ง หรือสองอาทิตย์ครั้งหนึ่ง ดึกสุดได้ถึงตี 5

 

 

กลุ่ม Generation Y 

ป้าตือ : เราจะไม่พยายามตัวเองที่จะเข้าไปแทรกอยู่ในตัวคนกลุ่ม Gen Z นะ จะเอาคนพวกนี้มาเป็นครูสอนหมดทุกอย่างเลย อยากรู้เรื่องอะไร ถามเค้าแล้วก็ไป Brain อยู่กับเขาแล้วก็บอกว่า เออแกมันอย่างงี้ยังไง ทำเป็นเพื่อนมันเลย แบบเพื่อนสนิทด้วยนะ และก็เรียนรู้จากสิ่งนี้และคนกลุ่มนี้เขาสอนเราเยอะมาก เขาเห็นในสิ่งที่เราไม่เห็น พูดในสิ่งที่เราไม่ได้พูด แต่พอเราได้คุยกับเขา เขาเป็นครู ฉันเอาเขามาเป็นครู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโซเชียล ไม่ว่าในเรื่องของการกิน การใช้ชีวิต คือคน Gen Z เค้าจะกินไม่เหมือนเรานะ เราจะกินของที่แบบว่าโตมากับการกินอาหาร 7-8 อย่างอยู่บนโต๊ะ แต่เขาจะกินกับอะไรที่มันแบบว่าเป็นคนๆ แล้วก็แบบว่า Comfort ง่าย ๆ แล้วก็แบบ Simple ไม่ต้องซับซ้อน แกจะกินอะไรก็เรื่องของแก ไปถึงปั๊บก็คือกดสั่ง แล้วก็นั่งกินบนพื้น หรือบางคนก็ไปนั่งกินตรงระเบียงแล้วก็ไปนั่งคุยกันตรงระเบียง คือมันไม่มีการมานั่งแบบคนรุ่นเรา จะแบบนั่งดูทีวี เดี๋ยมานั่งดูรีแคปนางงาม มันเป็นความอิสระมากเลย แต่ว่าอย่างหนึ่งคือที่เราก็จะไม่ถามเขาว่าแบบทำไมแกต้องอย่างงี้อย่างงั้น ทำไมคือห้ามถามเด็ดขาด กลุ่ม Gen Z ถ้าถามว่าทำไมจะรู้สึกทันทีเลยว่าเราทำตัวสงสัย เริ่มรำคาญ คือไปบ้านมันต้องเตรียมของเราไปเองเลย เขาจัดการระบบชีวิตของเขาเอง แล้วถ้าเพื่อนจะมาร่วมด้วยให้ร่วมได้นะแต่ว่าต้องเอามาแชร์กับเขาด้วย ไม่ถามตัวว่าทำไมแต่งตัวอย่างนี้คือใครจะใส่ชุดนอนมา ในขณะที่เพื่อนอีกคนหนึ่งใส่ชุดเป็น Evening Gown มาเดินลงมา ก็ไม่มีคำถาม คือมัน Mix คือใครจะทำอะไรก็ทำจริง ๆ อยากทำอะไรก็ทำแล้วเราก็ไม่ได้แคร์เพื่อน 

 

 

แล้วเอเนอร์จี้ของแก๊งหิ้วหวีล่ะ เพราะว่าป้าสนิทมากเลยได้เรียนรู้อะไรจากแก๊งนี้ ?

ป้าตือ : เอเนอร์จี้เราเวลาอยู่กับเขา เรากลายเป็นแบบว่าเหมือนแบบเป็นแม่เขา คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ต้องอยู่กันแบบเพื่อน คือเขาก็เรียกเราว่าแม่ เราก็คือแม่ที่สามารถจะแบบว่าคุยทุกเรื่องกับเขาได้ กินทุกอย่างกับเขาได้ ไปไหนกับเขาได้ ลุยกับเขาได้ แต่ขณะเดียวกันเขาอยากทำอะไร เราก็แบบไปเลย Open เต็มที่สามารถจะไปอยู่ด้วยกันได้โดยที่ไม่ต้องมาบอกว่า แกวันนี้นะแม่มานะต้องจัดบ้านให้เรียบร้อย ไม่ใช่วันนี้มาเขานอนเล่นตรงโซฟาเราก็นอนเล่นตรงโซฟาคือทำทุกอย่างเหมือนเขา ขออย่างเดียวคือ ฉันขอใส่ถุงเท้าอยู่ในบ้านเพราะว่าฉันเป็นคนไม่เคยถอดรองเท้าในบ้านฉันขอแค่นี้ นอกนั้นนี่ทุกอย่างคือ Blended in หมด กินข้าวก็ไม่ต้องไปวุ่นวายว่าฉันจะต้องนั่งแล้วลูกต้องตัก ไม่ต้องไปตักเองทำเอง เราก็ต้องเรียนรู้ในการที่จะอยู่กับคน เรามีความสุขมาก ขอบคุณพวกเขาเลยนะ ขอบคุณมากที่พวกเอ็งมาเติมเต็มความสุขในเวลานี้ของฉัน พูดตรงๆ เลยนะเวลาเราเดินไปอยู่ในกลุ่มไหนไม่เคยคิดว่าจะต้องไป Lead บางทีเราไปเป็น Extra นะ เพื่อซัพพอร์ทให้เขา คิดอย่างงั้นเสมอแล้วเราก็ไม่ได้จำเป็น คือสมัยก่อนโอเคตอนเป็นเด็กเราอาจจะมี Mindset บางอย่างที่ว่า I'm not your Extra แต่ ณ วันนี้พอสังคมและโลกมันเปลี่ยนไปเร็วมากทุกอย่างมันเปลี่ยนไป เราก็ต้องกลายพันธุ์ คืออยู่ในที่ๆ เราแฮปปี้แล้วพอใจอยู่ ไม่ใช่ให้เค้าจับวางนะ เราอยู่ในที่ๆ พอใจ ถึงเวลานี้ Moment นี้คือเพื่อนในกลุ่มทุกกลุ่มมันจะมี Moment ของมัน ในช่วงเวลาที่เจอกัน Moment นี้เราต้องทำตัวเป็นอะไร Extra  ใน Moment นี้เราต้องเป็น Leader หรือ Moment นี้เราอาจจะต้องเป็นผู้ฟังเงียบอย่างเดียวแล้วก็กลายเป็นตัว 3 ตัว 4 ไปเลย คือมันขึ้นอยู่กับ Moment ของกลุ่มแต่ละกลุ่มด้วยนะ 

 

 

 

สามารถติดตาม Woody FM ได้ที่ช่องทาง Podcast : WOODY FM , Facebook: Woody, Youtube: Woody ทุกวันพุธ เวลา 18.00 น. 

 

คลิกชมย้อนหลัง :  https://www.youtube.com/watch?v=Qr4qZNAiJYE

 

เกิดอะไรขึ้น? \"ป้าตือ\" เปิดใจเล่า.. อดีตถูกมองว่าแรง คนกลัวจนไม่กล้าเข้าหา

 

เกิดอะไรขึ้น? \"ป้าตือ\" เปิดใจเล่า.. อดีตถูกมองว่าแรง คนกลัวจนไม่กล้าเข้าหา

เกิดอะไรขึ้น? \"ป้าตือ\" เปิดใจเล่า.. อดีตถูกมองว่าแรง คนกลัวจนไม่กล้าเข้าหา