บันเทิง

อาลัยโรงหนังสยาม

อาลัยโรงหนังสยาม

27 พ.ค. 2553

ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัด เข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ ตอนโตเป็นวัยรุ่นแล้ว และด้วยความเป็นเด็กบ้านนอกที่ไม่ได้สนใจเทรนด์แฟชั่นมากมาย แหล่งวัยรุ่นอย่าง ‘สยาม สแควร์’ จึงไม่ได้อยู่ในความสนใจของผมเท่าไหร่นัก หากจะเดินทางมาที่นี่ จุดหมายเดียวก็คือมาดูหน

  ผมมีโอกาสรู้จักกับหนังไทยดีๆ อย่าง “ฝากฝันไว้เดี๋ยว จะเลี้ยวมาเอา” ก็ที่โรงหนัง ‘สยาม’ นี่ล่ะครับ รู้ว่าหนังฟิล์มนัวร์ คนไทยก็ทำได้ไม่เลว เพราะได้มาดู “กะโหลกบางตายช้า กะโหลกหนาตายก่อน” ที่โรงสยามแห่งนี้เช่นกัน และจำได้ว่าเกือบจะพลาดหนังดีๆ อย่าง “Forrest Gump” จนได้มาเจอหนังยืนโปรแกรมฉายที่สยามเป็นสัปดาห์สุดท้าย (โดยฉายมาแล้วร่วมเดือน) รวมทั้งหนังต่างประเทศดีๆ อีกมากมาย ทั้ง “The War” “Pulp Fiction” ฉายสลับกับหนังไทยบ้าง จีนบ้าง ถือเป็นโรงมัลติเพล็กซ์แห่งแรกๆ ในเมืองไทยก็ว่าได้ เพราะมีถึง 5 โรง คือ สยาม, สกาล่า และลิโด้ ที่แบ่งเป็นโรงย่อยๆ 3 โรง ที่สำคัญเครือเอเพ็กซ์ จัดการระบบฉายสมกับคำว่า ‘Multiplex’ จริงๆ เพราะนอกจากความหลากหลายของจำนวนโรงหนังแล้ว ยังมีการเฉลี่ยโปรแกรมฉายอย่างเหมาะสม มีหนังหลายหลากให้เลือกชม ไม่เทโรงฉายให้แก่หนังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จนคนดูไม่มีทางเลือกเหมือนโรงมัลติเพล็กซ์หลายๆ แห่งในเวลานี้ร์ ก็จะมีหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่ในกุงนวัยรุ่น

 โรงหนังสยาม เป็นโรงหนังแบบ ‘Stand Alone’ ที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งในกรุงเทพฯ ครับ(ไม่นับรวมโรงหนังชั้นสอง) และความใจกว้างของผู้บริหาร ที่เปิดโอกาสให้หนังแต่ละเรื่องยืนโรงฉายยาวนานกว่าโรงหนังที่อื่นๆ จนเมื่อ 8 ปีก่อน โรงหนังสยาม ก็เริ่มหันมาจับตลาดหนังทางเลือก ควบคู่ไปกับหนังกระแสหลัก โดยเริ่มจากหนังอิหร่านเรื่อง “Children of Heaven” ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ จนมีการเพิ่มพื้นที่ให้แก่หนังเล็กๆ แบบนี้มากขึ้นในเวลาต่อมา (หมายถึงการนำหนังนอกกระแสมาฉายมากขึ้น และเพิ่มระยะเวลาการยืนโรงฉายนานขึ้น) ไม่ใช่แค่หนังนอกกระแส หรือหนังทางเลือกจากต่างประเทศเท่านั้นนะครับ เครือเอเพ็กซ์ยัง เปิดโอกาสให้แก่คนทำหนังไทย ที่ไร้พื้นที่ในการนำเสนอผลงาน ที่ผ่านๆ มา หนังสารคดีของสองผู้กำกับสาว ‘ป๊อป อารียา’ และ ‘นก นิสา’ ไม่ว่าจะเป็น “เด็กโต๋” และ “ปักษ์ใต้บ้านเรา” ก็ยืนโรงฉายในเครือนี้นานนับเดือน

 ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ก็มีหนังสารคดีของคนทำหนังอิสระเรื่อง “I Am the Director ฝันฉันคือผู้กำกับ” เข้าฉายให้ได้ชมกันด้วย  แม้กระทั่งคนทำหนังฝีมือดีอย่าง สันติ แต้พานิช เครือเอเพ็กซ์ก็เปิดโอกาสให้หนังของเขาเข้าฉายเป็นทางเลือกๆ ใหม่ให้แก่ผู้ชมทั้งเรื่อง “Bangkok Time ดึกแล้วคุณขา” และ “แอบถ่าย เดี่ยว 7” หรือเมื่อ 3 ปีก่อน หนังรักฝีมือเด็กไทย “Lullabye Before I Wake ลัลลาบาย กล่อมฉันด้วยรัก” หนังวัยรุ่นไทยที่พูดภาษาอังกฤษทั้งเรื่อง ก็ได้โอกาสฉายในเครือนี้มาแล้ว

 เสื้อสูทและหูกระต่ายสีเหลืองสด เครื่องแต่งกายของพนักงานเดินตั๋ว ถือเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของโรงหนังในเครือนี้ ที่สำคัญอายุอานามแต่ละคนเก่าแก่ไม่แพ้โรงหนังด้วย คุณนันทา ตันสัจจา ผู้บริหารเคยเล่าให้ฟังว่า บุคคลเหล่านี้เป็นคนเก่าคนแก่ ทำงานด้วยกันมานานตั้งแต่โรงหนังเปิดให้บริการแรกๆ เมื่อปี พ.ศ. 2509 หลายคนยังคงทำงานอยู่ที่นี่ ไม่ย้ายไปไหน ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเหมือนเป็นครอบครัว คุณนันทาบอกว่าบางคนลูกหลานโตมา ก็ทำงานที่นี่ พ่อเป็นพนักงานเดินตั๋ว ลูกสาวเป็นพนักงานขายตั๋วก็มี

 การพยายามรักษางานสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมเอาไว้ ถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของโรงหนังในเครือ เอเพ็กซ์ ทั้ง ‘สยาม’ ‘ลิโด้’ และ ‘สกาล่า’ มีการบูรณะปรับปรุงตัวอาคารภายนอกและภายในไม่ให้ทรุดโทรมบ้าง แต่ก็ไม่ได้แก้ไขโครงสร้างหลักหรือรูปแบบเดิมให้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด ถือเป็นโรงหนังแห่งแรกที่มีการพัฒนาระบบเสียงดอลบี้รอบทิศทางมาใช้เป็นเจ้าแรกๆ ในเมืองไทย หนังที่นี่ฉายค่อนข้างตรงเวลา ไม่ยัดเยียดโฆษณาจนน่ารำคาญเหมือนโรงหนังมัลติเพล็กซ์หลายๆ แห่ง 

 การพยายามเปิดพื้นที่ให้หนังอิสระเข้าฉายเพื่อเป็นทางเลือกกับคนดู การพยายามรักษารูปแบบดั้งเดิมของการให้บริการและตัวโรงหนังในแบบสแตน อะโลน สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะสวนทางกับธุรกิจโรงหนังที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ตั้งแต่การจัดโปรโมชั่นลดราคาต่างๆ นานา (ขณะที่โรงหนังสยาม และเครือเอเพ็กซ์ เก็บค่าตั๋ว 100 บาทมาหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวันจันทร์-ศุกร์ หรือวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และไม่เคยขึ้นราคาแม้แต่บาทเดียว อีกทั้งไม่เคยอ้างความยาวของหนัง มาใช้เป็นเหตุผลในการขึ้นราคาค่าตั๋วเลย) จัดสรรโปรแกรมและรอบฉายด้วยความเหมาะสม ทั้งหมดนี้คือความมั่นคง ซื่อตรง ต่อผู้บริโภค มากกว่าจะแสวงหาผลกำไร เฉกเช่นนายทุนธุรกิจโรงภาพยนตร์รายอื่นๆ แม้ตัวเลขของผลประกอบการจะไม่หวือหวา ฟูฟ่า เหมือนในยุคเฟื่องฟู หรือโรงหนังเครืออื่น แต่โรงหนังสยามและเครือเอเพ็กซ์ยังพออยู่ได้ (ที่สำคัญ มีธุรกิจท่องเที่ยวชื่อ ‘สวนนงนุช’ คอยรองรับอยู่อีกทาง)

 เราไม่เพียงสูญเสียโรงหนังเก่าแก่ ที่ตอนนี้กลายเป็นเศษเถ้าธุลีเท่านั้น หากแต่เรายังสูญเสียหมุดหมายทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ในฐานะโรงมหรสพที่เชื่อมโลกแห่งการเรียนรู้ผ่านภาพยนตร์ ช่วยเปิดโลกทัศน์เราให้กว้างไกล ‘โรงหนังสยาม’ จะยังอยู่ในความทรงจำตลอดไป และขอส่งแรงใจไปยังผู้บริหาร และพนักงานในเครือเอเพ็กซ์ทุกท่าน ผ่านพ้นอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ และกลับมามีชีวิตที่ปกติสุขดังเดิมครับ

"ณัฐพงษ์ โอฆะพนม"