
"ทูน หิรัญทรัพย์" เล่าสาเหตุ ตาข้างขวาบอดสนิท จนเกือบคิดสั้น
ตาข้างขวาบอดสนิท.. "ทูน หิรัญทรัพย์" เปิดใจเล่าสาเหตุ ดวงตามองเห็นเพียงข้างเดียว จนเกือบคิดสั้น และอัปเดตงานในวงการ
เปิดใจครั้งแรก “ทูน หิรัญทรัพย์” หลังขึ้นโรงพักเคลียร์ใจ 2 วัยรุ่น กรณีทำร้ายร่างกายกลางตลาดคลองถม เผยอีกด้านของชีวิตที่ดวงตามองเห็นเพียงข้างเดียวจนเกือบคิดสั้นมาแล้ว พร้อมเปิดใจเรื่องงานในวงการว่าจะยังได้เห็นในหน้าจออีกไหม ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow
ตาข้างขวาที่บอดสนิทเลยเกิดอะไรขึ้น?
“สาเหตุจากความดันตาที่สูง ศัพท์แพทย์สมัยก่อนเรียกว่าเบาหวานขึ้นตา มันเลยเกิดอาการ เกิดจาก 2 อย่างคือ 1.พันธุกรรม อินซูลินทำงานผิดปกติ 2.พฤติกรรม แป้งเยอะ ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง มาปรับตัวเองว่ากินให้น้อยลง หมั่นไปตรวจ”
อาการก่อนหน้านั้นเป็นอย่างไร?
“เราปวดไมเกรนปวดหัวข้างนึง ปวดเบ้าตาน้ำตาไหล กินยาหมอตี๋ (หัวเราะ) ไปตามร้านขายเอง วันหนึ่งไปประชุมที่ฝั่งธนกับมูลนิธิเมาไม่ขับ พอประชุมอยู่เราก็เคืองตา คุณหมอแท้จริงเลยเอานิ้วมากดตาเราแล้วมันไม่สปริง ปกติมันต้องเด้งกลับ เลยไปรพ.ทางฝั่งธนหมอก็บอกว่าทำไมความดันตาขึ้นมา 200-300 คุณต้องไปหาหมอตรวจจักษุ วันรุ่งขึ้นก็ไปรพ.นึงแถวศูนย์วิจัยเราก็ตกใจ แพทย์มาเอง หมอใหญ่มาเอง พอออกมาข้างนอกก็เจอนักข่าวเต็มเลย คุณหมอเลยให้ข่าวไปว่ามันเป็นยังไง”
พอรู้ว่ามองไม่เห็นจริง ๆ เคยคิดสั้นเลยเหรอ?
“ในภาวะที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ในชีวิตคิดว่าทุกคนก็ช็อกเหมือนกันนะ เคยทำงาน เคยดำเนินชีวิตปกติมา แล้วจะมองไม่เห็นแล้วหมอบอกว่ามันจะข้ามไปอีกฝั่งด้วย เราก็เครียด เราคิดแบบสั้น ๆ ถ้าเราไม่อยู่ครอบครัวของเรา เพื่อนของเรา งานของเรามันก็ดำเนินไปได้อยู่แล้ว ไม่อยู่สักคนก็ไปต่อได้ เราเสียสละไม่อยากให้ใครเดือดร้อนก็เลยไปก่อนดีกว่า เราก็ไปศึกษาว่าทำยังไงไปเร็วไม่เจ็บและคนอื่นไม่เดือดร้อน”
กลับจากช่วงเวลาที่คิดสั้นมาได้ยังไง?
“พอไปถึงที่จะตัดสินใจ เรารู้ว่าสูงกี่ชั้นอะไรยังไง เขาก็อนุญาตเรา เพราะเขายังไม่รู้เรื่องตาของเรา เราเคยขึ้นไปดูห้องหับ ไปดู facilities ว่ามีอะไรบ้าง เราก็แบบเห้ยข้างบนมีที่จอดเฮลิคอปเตอร์ เราเลยคิดถึงตรงนั้น สุดท้ายก็มีลูกมาเตือนสติเรา ลูกสาวสามคนบอกว่าขอให้ปะป๊าอยู่ทันงานรับปริญญา ถ้าเราไม่อยู่คงเป็นจุดดำในชีวิตเขาว่าทำไมเราไม่อยู่ ก็เลยเริ่มมีสติตรงนั้นและอยู่ต่อ”
ตอนนั้นวางแผนยังไงบ้าง?
“ตอนนั้นไม่มีการวางแผน พอดึงสติกลับมาได้เราต้องคิดให้เป็น มันจะเปลี่ยนทัศนคติเรา เมื่อเปลี่ยนทัศนคติเรามีเป้าหมายแบบนี้ เราจะเดินทางนี้ เรามีพิมพ์เขียวการทำงานแบบนี้ ทัศนคติดีปั๊บมันจะไปควบคุมพฤติกรรม แทนที่จะคิดลบอย่างเดียวมันจะคิดบวก แทนที่จะคิดแก้ไขปัญหาเราจะคิดว่าจะทำยังไงให้เดินไปหาโอกาสเดินไปหาคำตอบ ทัศนคติเปลี่ยนพฤติกรรมก็เปลี่ยน เดินไปคุยกับคนคิดบวก คุยกับคนที่คิดถึงอนาคตแบบที่เราไม่เคยคิด ผลลัพธ์ของเราคิดบวกก็ลงท้ายด้วยบวก ติดกระดุมเม็ดแรกผิดมันก็ผิดทั้งแถว”
เรายังได้เห็นละครเรื่อย ๆ ใช่ไหม?
“ตั้งแต่โควิดมาก็มีรีรัน ถามว่ามีคนโทรมาหาเราไหมก็มี เล่นเป็นคุณพ่อตลอด (หัวเราะ) แต่ตอนนี้เขาเอาคนรุ่น 40 กว่ามาเล่นแทน เราเลข 7 แล้วก็ไม่รู้จะเล่นบทอะไรดี อีกอย่างหนึ่งนักแสดงเล่นบทนี้มาตลอดก็อยากเปลี่ยนบทเปลี่ยนคาแรกเตอร์บ้าง เราอยู่วงการมา 44 ปีแล้วชีวิตที่เหลือตะทำอะไรดี เราเลยหารายได้ เปิด บริษัท events organizer จัดงานให้กับกระทรวง กรม เราไปยุ่งเกี่ยวกับอาเซียนไซเบอร์ เราก็ใช้ภาษาเราให้ได้ มันไม่ใช่ว่าเขารู้จักเราและเอางานให้เรา เราต้องไปประมูล ก็เดินตามข้อที่เขากำหนด มีงานอีกงานที่เราทำและชอบมากคือการเดินสายอบรมเยาวชน ‘เราเปลี่ยนโลกเปลี่ยน’ ล่าสุดไปเป็นกรรมกรตกแต่งร้านอาหาร ตกแต่งสวนอาหารชื่อ vintage society ก็มีโซนหนึ่งเป็นร้านอาหาร camping”
ไหนว่าไปช่วยดูร้านอาหารทำไมขึ้นไปร้องเพลง?
“(หัวเราะ) อันนี้เป็นการบำบัดนะ เป็นจิตวิทยาชนิดหนึ่ง เขามาเชิญก็ขึ้นไปร้อง เรามีเวลาของเรา 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมงไม่รวมพูดคุย เป็นความสุขนะ ร้องเพลง 60 70 80”
ใครอยากทานอาหารแวะไปฟังคุณอาไปได้ที่ไหน?
“หลังประตูกรุงเทพฯ เราเป็นหลายอย่างในร้าน ก่อสร้าง ทำสวย ร้องเพลง ปีนหลังคา รดน้ำต้นไม้ คือมันต้องทำเอง เราไม่เคยทำอะไรแบบนี้ ทำมาสองปีเอง”