
"เจนนี่ BLACKPINK" ชนะคดี! ศาลลงดาบ"ชายปริศนา" แอบอ้างว่าเป็นพ่อ
เจนนี่ BLACKPINK ชนะคดี! ศาลลงดาบละเมิดสิทธิส่วนบุคคล "ชายปริศนา" กุเรื่องแอบอ้างเป็นพ่อ ตีพิมพ์หนังสือที่สร้างเรื่องเท็จ
ในที่สุดความจริงก็ปรากฏ! ไอดอลสาวระดับโลก เจนนี่ คิม สมาชิกวง BLACKPINK ชนะคดีทางกฎหมายเหนือชายคนหนึ่งที่อ้างตัวเป็นบิดาของเธอ พร้อมแต่งเรื่องเท็จใส่ร้ายและตีพิมพ์เป็นหนังสือวางจำหน่ายอย่างไม่เหมาะสม
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา ศาลกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ มีคำตัดสินชี้ชัดว่า ข้อกล่าวอ้างจากชายคนดังกล่าว "เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง" และเข้าข่ายการหมิ่นประมาทผ่านการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยศาลมีคำสั่งให้ ทำลายสิ่งพิมพ์ หนังสือ และเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบิดเบือนนี้ในทันที
กรณีนี้ถูกสื่อมวลชนในเกาหลีใต้จับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของศิลปินชื่อดัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และจิตใจของเจนนี่ไม่น้อย โดย YG Entertainment ได้ให้การสนับสนุนด้านกฎหมายแก่เจนนี่อย่างเต็มที่ตั้งแต่เริ่มเรื่อง
เรื่องเริ่มจากหลังชายรายหนึ่ง “นาย A” ใช้ชื่อ–โลโก้ของ เจนนี่ BLACKPINK บนปกนิยายที่สร้างขึ้นด้วย AI พร้อมอ้างว่าเธอคือ “ลูกสาว” จุดกระแสข่าวลือเรื่องชาติกำเนิดและครอบครัวทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์แบบไม่มีมูล
เจนนี่ไม่ทน! ยื่นฟ้องทันทีเมื่อเดือนกันยายน 2024 ผ่านต้นสังกัด OA Entertainment โดยมีสำนักงานกฎหมาย Yulchon ร่วมเดินหน้าสู้คดี ล่าสุด ศาลแขวงอุยจ็องบู สาขาโกยัง ตัดสินเข้าข้างเจนนี่ ระบุชัด “จำเลยไม่มีหลักฐานยืนยันใด ๆ นอกจากคำพูดตัวเอง” ขณะที่ทะเบียนครอบครัวของเจนนี่ก็ยืนยันว่ามีชายอีกคนเป็นบิดาที่แท้จริง คำสั่งศาล ให้ ทำลายนิยายทุกเล่ม ห้ามนาย A กล่าวถึงเจนนี่ ในทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดียหรือสื่อใด ๆ
แม้จะไม่มีบทลงโทษปรับหรือคำสั่งบังคับคดีชั่วคราวจากศาล เนื่องจากไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องด้านทรัพย์สิน แต่คดีของ เจนนี่ BLACKPINK และชายที่แอบอ้างว่าเป็นบิดา พร้อมตีพิมพ์นิยายด้วย AI ใช้ชื่อ–ภาพ–โลโก้ของเธอโดยพลการ ถูกวินิจฉัยอย่างชัดเจนว่าเป็น การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง
- ศาลเกาหลีใต้มีคำสั่งเด็ดขาดให้จำเลย
- ทำลายสิ่งพิมพ์ทุกฉบับที่เกี่ยวข้อง
- ห้ามกล่าวถึง “เจนนี่” ในทุกแพลตฟอร์ม
- และที่สำคัญ—ให้รับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายทางกฎหมายทั้งหมด
กรณีนี้กลายเป็นบทเรียนสำคัญยุค AI ว่า “ข้อมูลเท็จ” ที่ผลิตจากเทคโนโลยี อาจสร้างผลกระทบทางชื่อเสียงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกับบุคคลสาธารณะ พร้อมย้ำว่า “ชื่อเสียงไม่ใช่ของเล่น” และ “การแอบอ้างไม่ใช่เรื่องสนุก” ในยุคที่ทุกคำพูดสามารถเป็นหลักฐานในศาลได้