
"ทูน หิรัญทรัพย์" อัปเดตคดีดัง รอไกล่เกลี่ย ศึกโจ๋รุ่นลูกคลองถม
อัปเดตคดีดัง "ทูน หิรัญทรัพย์" ยันคำเดิม! ไม่มีเจตนาผลักโจ๋รุ่นลูกคลองถม บทเรียนค่าแพง! ถ้าไม่ใช่ลูกหลาน อย่าหาไปตักเตือน!
กลายเป็นประเด็นร้อนดราม่าในโลกออนไลน์ ที่เสียงแตกเป็นสองเสียง สำหรับกรณีพระเอกรุ่นเดอะ "บ๊อบ-ทูน หิรัญทรัพย์" เปิดศึกวิวาทกับพ่อค้าแผงลอยต่างรุ่นต่างวัยที่ตลาดคลองถม ก่อให้เกิดการถกเถียงของรูปคดีความมากมาย ล่าสุดพระเอกวัยเก๋า "บ๊อบ-ทูน หิรัญทรัพย์" เดินทางมาอัปเดตคดีความผ่านถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังรอไกล่เกลี่ยอยู่
ถามถึงคดีตอนนี้ไกล่เกลี่ยกันยังไงบ้างกับคู่กรณีได้เจอกันหรือยัง?
- "คือนัดกันแล้วครับ แต่เค้าขอเลื่อน ก็เลยเลื่อนก็เลื่อน"
ส่วนอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากเหตุการณ์วันนั้น ตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ?
- "มันจะมีด้วยกันอยู่สองส่วนคือหนึ่งโหนกแก้ม วันนั้นเราใส่แว่นตามันก็เลยทำให้ใต้ตากับโหนกแก้มมีรอยช้ำ พอไปตรวจกับคุณหมอจักษุฯ คุณหมอเค้าบอกว่ามันอักเสบข้างใน เป็นข้างที่บอดอยู่ คุณหมอก็บอกว่าการให้ยามันช่วยได้แค่ส่วนนึง ถ้าวันนึงมันเกิดอักเสบขึ้นมามีผลกระทบก็ต้องเอาตาค้างนั้นออก อาจจะต้องใส่ตาเทียมแทน ก็เลยเป็นความรู้ใหม่ที่รู้ว่าคนเค้าใส่ตาเทียม ตาแก้ว เพราะตาที่มันยังมีอยู่มันก็มีชีวิตอยู่ แต่ถ้ามันเสียมันเสื่อมปุ๊บมันก็ต้องเอาออก"
แล้วอาการผลข้างเคียงส่วนอื่นเป็นไงบ้างมีเจ็บมั้ยคะ?
- "มันก็รู้สึกปวดๆ รอบๆตารอบๆหน้า เป็นข้างเดียวยังต้องไปหาคุณหมออยู่ นัดกันต่อเนื่องเพื่อที่จะดูอาการกันอยู่"
ขอย้อนถามวันนั้นเกิดอะไรขึ้นไปทำอะไรที่นั่น?
- "เราก็เหมือนคนทั่วไป เป็นครั้งแรกที่เราไปตลาดคลองถม มันไปเพื่อเปิดหูเปิดตาจุดประสงค์วันนั้นคือไปเพื่อไปซื้อไฟโซลารฯ เพื่อมาทำธุรกิจของเรา แล้วก็ไปเจอแผงลอยของข้างๆอาคาร เราก็เห็นว่ามีของขายอยู่เราก็เลยคุยกับคนที่ขาย คนขายเค้าก็ตื่นเต้นที่เรากำลังเลือกของอยู่เค้าบอกว่าหน้าตาเหมือนดารา วันนั้นเราใส่แว่นใส่หน้ากากใส่หมวกด้วยนะ เค้าก็ยังจำเราได้แต่เป็นคนอีกรุ่นนึงนะที่จำเราได้ เค้าก็เลยพูดเสียงดังๆชวนเพื่อนมาดูว่าคนนี้ดาราจำได้ไหม จากจุดนั้นกับน้องก็เลยเกิดเรื่องที่ว่า น้องที่เค้าไม่รู้จักเรา เค้าก็บอกว่าโว้ยไม่รู้จักดารงดารา ที่งี้พอเราจ่ายค่าของเสร็จ โดยสัญชาตญาณของคนที่เคยอบรมเยาวชนมาทั่วประเทศ เราก็บอกว่าด้วยเจตนารมณ์ที่ดี บอกกับน้องด้วยความที่เราจะทำงานทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่ มันต้องมีการสื่อสารที่ถูกต้อง เราต้องคุยกับลูกค้าดีๆมีน้ำเสียงดีๆ ต้องมีอารมณ์ดีๆประมาณนี้ ง่ายๆคือทัวร์ลงตรงคำพูดที่เราว่าอบรม เราใช้คำพูดคำว่าอบรมกับเค้าไม่ได้ เพราะว่าเราไม่ใช่พ่อแม่เค้า เราก็ลืมไปว่ามันจริงนะ แต่เราพูดไปแล้วด้วยความหวังดีนะ"
หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นต่อบ้าง?
- "มันก็เกิดการเข้ามาประชิดตัวต่างๆ เจตนาของเราวันนั้นเราก็ไม่ได้ผลักเค้า"
น้ำเสียง ณ สถานการณ์ตอนนั้นต่างฝ่ายยังไง?
- "ของเราในแบบไลฟ์โค้ชคือใช้น้ำเสียงปกติ ธรรมดา แต่น้องเค้าถ้าเปรียบเหมือนสถานีวิทยุที่ส่งข้อความไป สถานีวิทยุมันไม่ได้รับ ก็เลยกลายเป็นว่าเค้าก็อาจจะตีความผิดว่าเราไปว่าเค้าอะไรต่างๆ ตรงนี้มันก็เลยเกิดความรุนแรงขึ้นมา"
วันนั้นมีประโยคที่แชร์ในโซเชียลว่าทางเราพูดถึงคู่กรณีว่าเดี๋ยวอายุสั้นหรอก?
- "ณ วันนั้นอาจจะหลายอย่าง แต่ที่จำได้คือว่า สิ่งที่เราหมายความว่าถ้าน้องทำแบบนี้ มันจะทำให้อายุงานของน้องสั้นลง นี่เราไปจากภาษาอังกฤษนะ หมายถึงอายุงานไม่ได้หมายถึงอายุเค้าจะสั้นลง เราไม่ได้เป็นขู่อะไรเค้า"
ถ้าน้องเค้ามาขอโทษของอภัยให้ได้ไหมคะ?
- "อันนี้ขอไปทางต่างประเทศนิดนึงเป็นสุภาษิตจีน สุภาษิตจีนเวลาพี่น้องเค้าทะเลาะกัน น้องคุยกับพี่ ถ้าน้องทำผิด ในฐานะพี่จะไม่ให้อภัยน้องหรอ เรากำลังบอกว่าอันนี้ไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่โต เป็นเรื่องของการสื่อสารการตีความ ที่อาจจะไม่ตรงกัน น้องเค้าก็ไม่ได้ผิดเราก็ไม่ได้ผิด เพราะว่าเจตนาเราอีกแบบนึง ถ้ามีการพูดคุยกันการเจรจากัน มันเป็นแบบนี้นะเราก็ควรจะให้อภัยซึ่งกันและกันมากกว่า"
สภาพจิตใจเป็นยังไงบ้างคะ ณ วันนี้?
- "มีความรู้สึกว่า ถ้าถามว่าเสียใจไหมก็เสียใจนะ เสียใจที่เหตุการณ์มันเกิดขึ้น ถ้าเราผิดแล้วน้องบอกว่าน้องเค้าผิดด้วย ต่างคนก็ต่างต้องให้อภัยกันและขอโทษกัน ผู้ใหญ่ถ้าทำผิดแล้วไม่รู้จักรับผิดก็ถือว่าไม่ใช่ผู้ใหญ่ ไม่ใช่คนที่มีสติปัญญาและวุฒิภาวะ ถ้าบอกว่าเราเป็นผู้ใหญ่เราขอโทษได้ไม่มีปัญหา"
เราได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ครั้งนี้?
- "บทเรียนของตรงนี้มันก็คือว่าอันที่หนึ่ง ถ้าเด็กมาสมัครเข้าอบรมโครงการของเรา เราเปลี่ยนโลกเปลี่ยน อันนี้เราอบรมเค้าได้ เราใช้คำว่าอบรมได้ และถ่ายทอดสิ่งดีๆให้กับเค้าได้ ให้เค้ามีกระบวนการความคิดได้ บทเรียนในครั้งนี้คือเราคิดว่าถ้านอกห้องเรียนแล้ว ไม่เป็นไร เค้าไม่ใช่ลูกหลานเรา เราไม่ต้องไปอบรมไปตักเตือนหรือว่าอะไร เราคงต้องเดินห่างไป และทำเป็นไม่ใส่ใจดีกว่า"
ที่มารายการ"โต๊ะหนูแหม่ม"