
สะท้านทั้งโซเชียล "แทค ภรัณยู" ซัดเดือดกลางเฟซบุ๊ก ชาวเน็ตแห่เมนต์สุมดราม่า
แรงสะท้านทั้งโซเชียล "แทค ภรัณยู" ซัดเดือดกลางเฟซบุ๊ก หลังประเทศเพื่อนบ้านสั่งแบนความบันเทิงไทย – ลั่นแรง "ประเทศมึxไม่มีอะไรให้แบน" งานนี้ชาวเน็ตต่างแห่คอมเมนต์สะเทือน
กลายเป็นประเด็นดราม่าระอุโซเชียลทันที หลังจากกระทรวงข่าวสารของประเทศเพื่อนบ้านเมืองไทย ที่เพิ่งจะมีกรณีรุกล้ำพื้นที่กันไปและเจรจาพูดคุยกันด้วยดีสร้างความดีใจให้กับประชาชนทั้ง 2 ประเทศ
แต่ทว่าต่อมามีข้อมูลออกประกาศ สั่งห้ามสถานีโทรทัศน์ทุกช่องในประเทศตนเอง งดออกอากาศผลงานบันเทิงจากประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นละคร ซีรีส์ ภาพยนตร์ รายการ รวมถึงเพลงไทยทุกประเภท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป ทำให้เกิดการวิจารณ์หลากหลายมุมมอง
ขณะที่"แทค ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม" นักแสดงสายเดือดชื่อดังของไทย ออกโรงโพสต์ข้อความรัว ๆ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในช่วงเวลาที่มีประเด็นข้างต้นเกิดขึ้น จนถูกนำโยงเข้าดราม่า ด้วยข้อความที่ทำเอาโซเชียลลุกเป็นไฟ!
"xก็อยากจะแบน ประเทศมึxบ้าง แต่ประเทศมึxไม่มีอะไรให้แบน นอกจากแก๊งคอ... นึกไม่ออกว่ะมีอะไรบ้าง"
พร้อมทิ้งคอมเมนต์ปิดท้ายแบบเจ็บแสบว่า "มีอะไรให้แบนว่ะ... ละคร หนัง รายการ สินค้า อาหาร การท่องเที่ยว"
ซึ่งข้อความของ "แทค ภรัณยู" ไม่ได้เอ่ยถึงประเทศใด เป็นการตั้งคำถามขึ้นมาลอยๆ ทั้งนี้ก็ต้องรอเจ้าตัวออกมาเผยว่าต้องการสื่อสารในประเด็นไหน
แต่งานนี้เรียกยอดไลก์และแชร์ถล่มทลาย! ชาวเน็ตนับพันร่วมแสดงความคิดเห็นและส่งแรงใจให้แทคกันอย่างคับคั่ง หลายคนต่างเห็นด้วยและร่วมระบายความไม่พอใจ พร้อมขุดโพสต์เก่า ๆ ของฝั่งกัมพูชามาแชร์ประกอบรัว ๆ จนแฮชแท็ก #แบนบันเทิงไทย และ #แทคภรัณยู ติดเทรนด์ในไทยทันที
บทวิเคราะห์ ต้นตอดราม่า – การเมืองหรือศึกซอฟต์พาวเวอร์?
แม้ประกาศจาก "กัมพูชา" จะไม่ได้ระบุเหตุผลชัดเจน แต่กระแสบางส่วนชี้ว่า อาจเกี่ยวข้องกับความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระดับรัฐบาล หรือแม้แต่การแข่งขันด้านซอฟต์พาวเวอร์ ที่ไทยกำลังเป็นผู้นำในภูมิภาค ทั้งด้านละครไทยที่ฮิตทั่วเอเชีย และเพลง T-POP ที่เริ่มตีตลาดเพื่อนบ้าน
ฝั่งไทยไม่เงียบ – คนบันเทิงทยอยโพสต์
คนในโลกออนไลน์ต่างวิจารณ์กับประเด็นที่เกิดขึ้น และได้หยิบคลิปต่างๆ ออกมาคัฟเวอร์เพื่อความบันเทิงให้เห็นกัน บางท่านก็เปิดข้อมูลที่น่าสนใจ มีคนบันเทิงอีกหลายรายที่ออกมาแสดงความคิดเห็นเชิงตั้งคำถามในหลากมุมมอง ว่านี่เป็นการปิดโอกาสของประชาชนในการเสพคอนเทนต์คุณภาพหรือไม่?