
มีขึ้นมีลง "ทาทา ยัง" เผยจุดเปลี่ยน ในวันที่สูญเสีย "เต๋อ เรวัต"
สาวน้อยมหัศจรรย์ "ทาทา ยัง" เผยจุดเปลี่ยนในชีวิต สู่เส้นทางโกอินเตอร์ ยอมรับชีวิตมีขึ้นก็ต้องมีลง เพราะทุกอย่างคือสัจธรรม
เป็นอีกหนึ่งคนไทยที่ประสบความสำเร็จสู่สายตาชาวโลก สำหรับ ทาทา ยัง สาวน้อยมหัศจรรย์ ซึ่งปัจจุบันเจ้าตัวอยู่ในความดูแลของบริษัท นินจา เพอร์เฟคชั่น จำกัด ล่าสุดทาทาได้ย้อนเล่าเหตุการณ์ปรากฏการณ์โกอินเตอร์ ในรายการ ContinueART EP.43 ดำเนินรายการโดย อาร์ท เอกรัฐ และในอีกมุมหนึ่งที่เจ้าตัวยอมรับชีวิตมีขึ้นแล้วก็ต้องมีลง เพราะทุกอย่างคือสัจธรรม
เคยคิดไหมว่า ไปไหนมาไหน คนต้องรู้จักฉัน?
ต้องทำใจให้ได้ ทาว่าศิลปินทุกคนพอไปถึงจุดหนึ่ง พอดังมากๆ ทุกคนจะมีองค์ ทาว่ามันเป็นการไต่เต้า มีทุกคนแหละพออยู่จุดหนึ่งมันจะอ้าวเฮ้ยเก่งแล้วเว้ย คนต้องรู้จัก มันต้องมีเกิดขึ้น แต่ที่สุดแล้วพอทามีลูก เราพยายามสอนทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่ทารู้สึกคือ ทาสอนลูกตัวเองแน่นอนอยู่แล้ว ลูกทาไม่ไปเบ่งใครแน่ๆแต่คนอื่นก็อย่ามายุ่งกับลูกทาเหมือนกันเพราะว่าในขณะเดียวกันคือ เค้าเป็นลูกเรา แต่นั่นคือชีวิตเขา มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทา แยกแยะให้ได้ด้วย คือถ้าลูกเราผิดปั๊บนะ ไม่ได้ โดนๆ แต่ก่อนจะมาคิดเรื่องแบบนี้ได้ เกี่ยวกับการไปเจอคนนี่แหละ ใน 30 ปีชีวิตอยู่ในวงการมา ก็ได้ไปเจอคนเยอะไปปรับโหมด บางทีเหนือฟ้ามันยังมีฟ้า
ตอนช่วงปรับโหมดมันยากไหม?
ยากค่ะ เพราะว่าทาคิดว่าในการประสบความสำเร็จ ในเรื่องอะไรก็ตามที่มนุษย์เราทำมันเหมือนการที่คนขับรถเร็วเร็วเหมือนได้ประสบความสำเร็จ มันเมา มันลุ่มหลง มันเป็นแบบนั้นจริงๆ เค้าถึงเรียกว่าโลกมายา เพราะว่าในจุดจุดหนึ่งเราก็ขึ้นไปได้เราก็ลงมาได้เหมือนกัน
คิดว่าวันนึงเราขึ้นไปเราต้องลงมาไหม?
คิดตลอด เพราะว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่แม่และพ่อทาสอนมาโดยตลอด เขาพูดในความเป็นจริงอย่าอะไรมาก เดี๋ยวเธอก็ต้องลงมา เราก็มีเถียงว่าแล้วถ้าไม่ลงล่ะ เค้าก็บอกว่า มันไม่มีทางเป็นไปได้มันคือสัจธรรม
มีวันที่รู้สึกเหมือนที่แม่ฉันพูดไหม จำเหตุการณ์วันนั้นได้ไหม?
จำได้ มันก็ง่ายมากเพราะว่าเรา ทำซิงเกิ้ลไปกำลังย้ายค่าย ทาอยู่แบบชิวมาก ถามว่าวันนี้ทายังมีคอนเสิร์ตไหม ยังมี มีทุกปีมันอาจจะยังไม่เหมือนเมื่อก่อน ปีนึงทาเคยมีคอนเสิร์ต ประมาณ 298 คอนเสิร์ตต่อปี เกือบจะทุกวัน แต่ว่าพอเราหยุดปั๊บมันก็จะเห็นเลยว่าก็มันไม่มีอะไรโปรโมทเราไม่มีพีอาร์เหมือนสมัยนี้ ถ้าคุณนิ่งไปในโซเชียลมันก็นิ่งมันเห็นชัดและตอนนี้มันยิ่งตอกย้ำเพราะมันออกมาเป็นตัวเลข เมื่อก่อนต้องตะเกียกตะกายเหลือเกินที่อยากดัง จำไว้คนที่อยากจะประสบความสำเร็จต้องตะเกียกตะกาย ถ้าคิดว่าสิ่งที่ทาทำ มันได้มาง่ายมันไม่ได้มาง่ายๆ ทาแลกมาเยอะ แต่สุดท้ายคุณทำอะไรมันก็ได้สิ่งนั้น
ที่บอกว่ายากกว่ายุคนี้มันยากขนาดไหน?
ง่ายๆเลยการสื่อสารกว่าจะเจอกัน การล้มลงในมุมทาทา
เท่าที่ฟังมา การล้มลงมันคือ ทำในสิ่งที่ฉันรัก?
ไม่ค่ะ ล้มก็คือล้ม ตอนนี้มันคือขาลง ไปวิเคราะห์มามันเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ได้ออกสักอัลบั้มซิงเกิ้ลของตัวเองเลย จะให้คนเค้ามาตามอะไร ต้องพูดกับตัวเอง ทำไมวันนี้คนไม่รักฉันเลย คนไปรักแต่คนอื่น มันไม่เกี่ยว คือทาว่าอะไรหลายๆอย่าง คนเอามาใส่ในสมองตัวเอง ในเมื่อว่าวันนี้เรารู้ว่าตัวเองไม่ดีตรงไหน ก็แก้ก่อนที่จะว่าตัวเองเวลาไปคุยกับใคร มันก็ต้องแก้ตรงจุด ว่ามันไม่ใช่เรื่องนี้ เราอายุมากกันแล้วค่ะ เราจงยอมรับในสิ่งที่เกิดและสิ่งที่เป็น
สูญเสียอะไรตอนเป็นเด็กบ้างไหม?
ถามว่าตอนนั้นรู้สึกแบบนี้ไหม มารู้สึกทีหลังว่า ไม่ เพราะว่าคุณพ่อก็จะบอกเลยบอกว่า คือตอนนั้นเราคุยกันเรื่องของเรียน ตอนออกอัลบั้มชุดแรก อาเต๋อ เรวัต พุทธินันทน์ บอกเลยว่าห้ามเลิกเรียนนะ ยังไงการศึกษาก็ต้องมาก่อน พอออกอัลบั้มไปแล้ว เราไม่ได้คิดว่า มันจะดังขนาดไหน แล้วเราก็รักมากในสิ่งที่เราก็คือการร้องเพลง เพราะฉะนั้นเราก็กลัว ถ้าเราเรียนไม่ได้เราก็จะไม่ได้ร้อง มันก็เลยเป็นการแข่งกันอยู่ พ่อแม่เราเป็นคนที่สังเกตในตัวเรา เค้ารู้แหละว่าลูกเค้าเป็นคนอย่างไร
เค้าเดินมาหาทาแล้วก็บอกว่าพ่อกับแม่คุยกันแล้วนะก็เข้าใจความรู้สึกหนูมากๆว่าหนูพยายามจะเรียนให้มันดีอยู่ในตอนนี้ แต่ด้วยเวลาและทุกๆอย่างมันทำไม่ได้หรอก เราก็ไม่ได้คิดว่าการออกอัลบั้ม มันจะดังเราก็ไม่คิดว่าเราจะดัง พ่อก็ไปคิดเรื่องการศึกษาทุกคนคิดไปแล้ว ถ้าเกิดว่าเราเปรียบเทียบชีวิตเราในตอนนี้กับการเรียนอันไหนหนูจะได้ประสบการณ์มากกว่ากัน ทาก็บอกว่า ทาคิดไม่ออก เค้าก็จะพูดให้เราฟังแล้วกัน เค้าคิดว่านะ
ถ้ากลับไปเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ มันไม่เคยสาย แต่ประสบการณ์ที่ได้นะวันนี้ ที่มีแฟนคลับ แล้วเหมือนสิ่งที่ทาพูดมาก่อนหน้านี้นั่นก็คือเรื่องของการอยู่ในกระแส ก็ไม่ได้ทำแล้วจะมาเรียกร้องว่าตัวเองไม่ดัง เด็กมันไม่รู้จักมันไม่แปลกไง เพราะไม่ได้มีทุกคนรู้จักเราในโลก แล้วคุณพ่อก็บอกว่าดรอปก่อนไหม พอทาดรอปทาเข้าไปออกอัลบั้มชุดแรกแล้วก็อัลบั้มชุดที่สองติดกัน และทาก็กลับไปเรียนเกือบสองปี และในระหว่างนั้นคุณพ่อทาก็ไปทำสัญญาอินเตอร์ ทาไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดขึ้น ตอนทาเรียน ทาคิดว่าทาจบแล้ว เป็นนักร้องเป็นดาราเด็กคนหนึ่ง
เรามีการวางแผนนะ แต่ว่าในเวลานั้นอาเต๋อเสีย มีการย้ายค่าย ทาก็บอกว่าตอนนี้ทาไม่มีอารมณ์เลย ทาคิดไรไม่ออก ก็เหมือนพ่อ คนที่ปั้นเค้าไปจากเรา ตอนนี้เราต้องทำอะไรในเมื่อคนนี้ปั้นเรามา เคว้งมาก ทารู้สึกว่ามันน่าจะจบแล้ว ทาไม่รู้ว่าใครจะสื่อสารกับทาได้ดีในมุมด้านเพลงไปมากกว่านี้
วันที่เราสูญเสีย นั้นเป็นจุดเปลี่ยนที่เราตัดสินใจไปโกอินเตอร์ไหม?
ใช่ เพราะว่ามันสิ่งที่ทาสานฝันอาเต๋อ เค้าเคยพูดไว้ว่าเราไม่ได้อยู่แค่ในประเทศนี้ คืออาเต๋อ ทาว่าน่าจะยังไม่ป่วยด้วยซ้ำไปตอนแรกอาเต๋อวางแผนไว้แล้วว่าเค้ากะจะเป็นคนปั้นเรา ทาเลยว่ามันเหมือนเป็นการสานฝันอย่างหนึ่ง และพ่อก็พูดว่าก็ไม่เห็นจะต้องหยุดที่อาเต๋อ ในระหว่างนั้นพ่อเราก็ได้เรียนรู้วงการ ทาว่ามันมีจุดที่จริงๆแล้ว จุดที่ว่าผู้ปกครองมาเป็นผู้จัดการก็โน ก็เค้าเป็นพ่อแม่เค้าไม่ได้มาเป็นผู้จัดการไงและนั่นก็คือจุดหนึ่งที่พอทาไปพูดกับพ่อทาว่าเราเริ่มเป็นธุรกิจต่อกัน
เราเริ่มคุยกันแล้วมันกลายเป็นธุรกิจไปหมดเลยแล้วก็วันที่ทาได้เซ็นกับโคลัมเบีย จริงๆวันนั้นเป็นวันที่พ่อทายกมือเลยแล้วบอกว่าไม่ทำแล้วนะเราก็อ้าวแล้วอยู่ดีๆมาเทอะไรตอนนี้ เพราะว่านี่คือจุดพีคแล้ว เค้าก็บอกว่าเปล่าๆกำลังปล่อยมือไปให้อีกคนดู นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่เคยดูแลศิลปินอันดับหนึ่งแบบนี้ แล้วจะให้เขามาดูแลเขาว่าเค้าพาทาไปได้ไม่ไกล ทารู้สึกว่าโคตรเสียสละเลย
เห็นด้วยไหม ณ ตอนนั้น?
มาก แต่ ณ วันนี้ ที่เราพูดกับพ่อการปล่อยมือในครั้งนั้นของเขาเทพมากนะ ซึ่งมันเข้าใจได้ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่จะดูแลลูกตัวเองได้ดีกว่าคนอื่นหรอก แล้วอีกอย่างที่พ่อทาบอกว่าไม่ไหวคือ ที่ยากสำหรับเขาเราพูดกันทุกเรื่อง สมมตินะถ้าต้องถ่ายโฆษณาตัวนึงแล้วลูกค้าบอกว่าช็อตนี้ไม่สวยอันนี้ไม่ดีซึ่งสำหรับเขามันสะเทือนมากที่คนมาว่าลูกเค้าว่าไม่สวย เค้าต้องรับให้ได้แต่เค้าต้องกำหมัดไง