
"ฟิล์ม ธนภัทร" เล่าเบื้องหลัง "เรื่องเล่าคืนเฝ้าผี" สุดหลอน!
"ฟิล์ม ธนภัทร" ภูมิใจ.. กำลังจะมีผลงานละครเวทีเรื่องแรกในชีวิต "เรื่องเล่าคืนเฝ้าผี" พร้อมเล่าเบื้องหลังการทำงานสุดหลอน!
เปิดใจ "ฟิล์ม ธนภัทร" ที่ล่าสุดกำลังจะมีผลงานละครเวทีเรื่องแรกในชีวิต "เรื่องเล่าคืนเฝ้าผี" โดยเจ้าตัวเผยความรู้สึกด้วยความภูมิใจว่า... "ผมได้รับบทเป็นเอก ซึ่งเป็นแฟนของคนที่ตายในเรื่อง ก็เดินทางกลับมาร่วมงานศพของแฟนตัวเองแล้วเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น คาแรกเตอร์ก็จะเป็นคนเงียบๆ ในมุมส่วนตัวที่ผมมองนะ เป็นคนคิดเยอะ เราซ้อม อาจจะยังไม่ถึง 50% แต่ว่าเราเหมือนเข้าไปหลุดอยู่ในโลกใบนั้นแล้ว ขนาดเอฟเฟกต์ยังไม่เต็มร้อยก็ทำให้ผมสติแตกไปได้
ความที่มันเป็นละครเวทีเรื่องแรกของเราการทำการบ้านของเราต้องหนักขึ้นหรือต้องเน้นส่วนไหนเป็นพิเศษ?
ส่วนตัวผมให้เวลากับการที่อยู่ในห้องซ้อม ผมรู้สึกว่าละครเวทีกับละครทีวีไม่ได้ต่างกัน เพราะมันคือการแสดงเหมือนกัน มันต่างกันแค่ว่าวิธีการรับชมของผู้ชมที่ดูผ่านจอทีวีหรือว่าโทรศัพท์มาอยู่กันแบบเห็นด้วยตาเนื้อมันต่างกันที่ตรงนี้และอรรถรสที่จะได้รับมันอาจจะเพิ่มขึ้นไป จากการที่เราสามารถมีเอฟเฟกต์ มีซาวด์ มีเสียง มีกลิ่นเพื่อเพิ่มอรรถรสคนดูได้ ผมว่านี่คือความต่างระหว่างละครทีวีกับละครเวที
ความสุดล่ะทีวีเทคได้นะ แต่ละละครเวทีเทคไม่ได้?
พูดถึงเรื่องนี้ผมก็นึกขึ้นได้ว่าพอเป็นละครเวทีตอนแรกผมก็กังวลเหมือนกัน เพราะละครเวทีมันเทคไม่ได้ มันมีแค่เทคเดียวในแต่ละรอบ ผมก็กังวล ผมกลัวว่าผมจะจำบทไม่ได้ ถ้าเทียบกับละครทีวีบทมันก็เทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว แต่ว่ามันก็ถือว่ามันยาวมากเราต้องเล่นเทคเดียวด้วยบทหลาย 10 หน้าแต่พอเราซ้อมๆ ทุกวัน มันเหมือนเรากลืนกินพวกนั้นไปอยู่ในจิตใต้สำนึกเราไปแล้ว
มีวิธีจำบทไหม?
สำหรับผมถ้าถามว่าเป็นเทคนิค ผมใช้คำว่าผมพยายามที่จะเข้าใจเรื่อง เรียงลำดับเรื่องในหัวของตัวเองให้ได้ แล้วเราจะเข้าใจว่าพอมันเกิดเรื่องนี้ในซีนนี้ มันเป็น situation นี้ เราถึงได้พูดแบบนี้ออกไป บทมันจะมาเองโดยอัตโนมัติ คือจะไม่ได้เน้นท่องจำ พอเราเข้าใจตัวละครเข้าใจ situation ของเรื่องมันจะไปของมันเอง
เราจะคอนโทรลในเรื่องสมาธิยังไง?
ไม่เคยคิดเลย ก็อาจจะนั่งสมาธิมั้ง ตอบให้ไม่ได้เลย มันอาจจะเป็นฟีลเหมือนขึ้นคอนเสิร์ตมั้งครับ ผมว่าเดอะโชว์มัชโกออน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันมีเทคเดียว หลุดแล้วก็ต้องไปต่อให้ได้
เราจัดการกับความรู้สึกตื่นเต้นยังไง?
ผมก็จะพยายามขยับร่างกายให้เยอะ ไม่ก็กรี๊ดออกมา แบบตะโกนให้มันปลดปล่อยความเครียดสำหรับผมช่วยได้ แต่สำหรับคนอื่นผมไม่รู้
ซึ่งก็เป็นอีกความฝันหนึ่งของเราไหมที่ได้เล่นละครเวที?
ใช่ครับ เป็นอีกนึงความฝัน จริงๆ ผมพูดกับพี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) มาหลายปีแล้ว ด้วยจังหวะอะไรหลายๆ อย่างด้วย รวมถึงเราเองเป็นคนไม่ได้มีสกิลด้านการร้อง ก็เลยอาจจะยังไม่ได้รับโอกาสของละครเวทีที่เป็นมิวสิคัล เราก็เข้าใจได้ เพราะว่าละครเวทีส่วนใหญ่เป็นมิวสิคัลหมด และสกิลทุกคนด้านการร้องก็ยอดเยี่ยม พอมาเรื่องนี้ก็ถือว่าเข้าทางแล้ว ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี
ได้ถามผู้ใหญ่ไหมว่าเลือกฟิล์มเพราะอะไร?
อาจจะเพราะผมไปบ่นกับเขาบ่อยมั้งครับ เราไปบ่นกับเขาทุกปีแหละว่าเมื่อไหร่ผมจะได้ไปเล่นละครเวทีบ้าง เขาก็เลยเรียกเข้ามาแคสต์
แล้วตอนแคสต์เขาว่ายังไงบ้าง?
ตอนนั้นพี่บอยไม่อยู่ ก็จะเป็นพี่ๆ ทีมละครเวทีนั่นแหละที่เป็นคนดู
มีโอกาสได้ดูเวอร์ชั่นเดิมไหม?
ไม่มีครับ ไม่เคยดู แล้วก็จะไม่กลับไปดู เพราะว่าจะได้ไม่มีภาพจำ ถ้าจะกลับไปดูก็เอาไว้หลังจากที่เราแสดงจบแล้ว
แสดงว่าเราก็จะมีการตีความตัวละครนี้ในแบบของเราเลย?
ใช่ครับ ก็เป็นเวอร์ชั่น 2025 ต้องบอกว่าเรามีการปรับแก้ในเนื้อเรื่องบางส่วนให้เข้ากับยุคสมัย
พอได้ซ้อม พี่บอย ผู้กำกับชมอะไรเรามากที่สุด?
ณ วันนี้ยังไม่มีคำชม (แล้วมีคำไม่ชมไหม?) ก็ยังไม่มีครับ ก็ดีแล้วที่ยังไม่มี
พอเราซ้อมละครเวทีมา มันยากไหม เพราะเป็นเรื่องแรกด้วย?
ผมว่ามันเป็นเรื่องของจังหวะมากกว่า แต่ตอนซ้อมมันก็ยังแก้ไขกันได้ เห็นว่ามันเป็นการหาจังหวะที่มันเล่นแล้วมันใช่ มันเป็นการหาร่วมกันระหว่างผู้กำกับรวมถึงนักแสดง ทีมซาวด์และทีมไฟด้วย
นุ่น ศิรพันธ์ บอกว่าพาร์ทเนอร์แต่ละคนไม่มีคนไหนที่เขากังวลเลย มีคนเดียวคือตั้ม วราวุธ เราเป็นคนนั้นด้วยไหม?
ถ้าพูดขนาดนี้ก็ใช่ครับ เขามักจะทำอะไรที่เราคาดไม่ถึง พอตอนซ้อมเขาจะอิมโพรไวส์ขึ้นมา แล้วเขาจะเป็นสีสันของเรื่อง แม้จะเป็นเรื่องผีที่น่ากลัวมาก แต่เขาก็เป็นสีสันจนได้ และเขาก็จะคิดมุกทุกรอบที่ซ้อม มุกเขาก็จะไม่ซ้ำ ผมจำได้รอบที่ซ้อมล่าสุด ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาจะเล่นแต่ผมกลั้นขำไม่อยู่ ผมขำก่อนเลย มันไม่สามารถจริงๆ แล้วเขาชอบเล่นมุกอะไรที่เราคาดไม่ถึง เขาเป็นคนมีพรสวรรค์
ถ้าเกิดออนสเตจจริงๆ เราต้องฮึบไว้หรือยังไง?
ไหว้ร้องขอว่าอย่าเล่นอะไรที่มันแปลกไปจากเดิมเลย ผมก็กลัวว่าผมจะหลุดบนเวที
ขนาดนุ่น ศิรพันธ์ เขายังเกรงกลัวคนนี้เลย?
ตอนห้องซ้อมคือขำกันทุกคน ทำกันทั้งห้อง คือมุกเขาคือแบบกล้าคิดเนอะ กล้าเล่นเนอะ
ตั้มเล่นจนโดนดุบ้างไหม?
ยังครับแต่เกือบๆ อีกนิดนึง
ถ้าโดนดุ เขาอาจจะหยุดก็ได้นะ?
เขาก็จะหยุดไปแป๊บนึงแล้วเขาก็กลับมาเหมือนเดิม
หรือว่าเราจะลองไปไซโคผู้ใหญ่ให้แกล้งดุเขาเพื่อเซฟทุกคน?
ถ้าเราทำแบบนั้น มันอาจจะทำให้คนดูเสียผลประโยชน์ก็ได้ เพราะว่าเขาเป็นสีสันเดียวของเรื่องนี้ ผมว่าเราต้องเพิ่มสติให้กับตัวเองแค่นั้นเอง
ตั้มต้องภูมิใจนะเพราะว่าเขาเป็นตัวป่วนของทุกคนขนาดนี้?
ใช่ครับ ผมว่าเขาต้องภูมิใจเพราะเขาเกิดมาเป็นแบบนี้โดยธรรมชาติ อันนี้เป็นคำชมเพราะว่ามันน้อยคนนะที่คิดมุกมาเท่าไหร่แล้วทุกคนก็ขำหมด คือเรื่องมันซีเรียสมากแต่ไดอะล็อกที่เขาคิดด้นสดขึ้นมา ในมู้ดของความน่ากลัวมันทำให้เราตลกได้ แล้วมันก็ไม่ได้ทำให้เสียเรื่อง มันไปในเส้นเรื่องนั้นได้ด้วย นี่คือความเก่งของเขา ซึ่งให้ผมคิดผมก็คิดไม่ได้นะ สมมุติมีทั้งหมด 10 รอบ เขาอาจจะเล่นมุกไม่ซ้ำกันเลยก็ได้
ความพร้อมในตัวฟิล์มเป็นยังไงบ้าง?
ให้สัก 30% แล้วกัน ในวันนี้เรายังไม่ได้ขึ้นซ้อมบนเวทีใหญ่ เวทีจริง เรายังไม่ได้ซ้อมจังหวะพร็อพ จังหวะทรานซิซั่นต่างๆ จริงๆ แต่ว่าเราซ้อมการแสดงหมายถึงในพาร์ต ของเส้นเรื่องต่างๆ เราซ้อมไปเยอะมากแล้ว
การทำงานกับนุ่นเป็นยังไงบ้าง?
ดีมาก น่าจะเป็นการถูกหวยลอตเตอรี่ในการทำงานในปีนี้เลย ผมเคยทำงานกับพี่นุ่นเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว เล่นเรื่องเรือนเบญจพิษ เล่นเป็นลูกของพี่นุ่น ซึ่งตอนนั้นเรายังเป็นเด็กน้อยหอยสังข์ที่ยังเล่นละครไม่เป็น เราก็ได้วิชาจากพี่นุ่นมาเยอะมาก แล้วก็รู้สึกว่าดีจังเลยที่ได้ทำงานกับคนที่เขาทุ่มเทกับงานขนาดนี้ เรารู้อยู่แล้วเวลาที่เขาทำการแสดงพี่นุ่นเหมือนยอดมนุษย์ วันที่เราสนุกกับการแสดง เราก็รู้สึกว่าโคตรสนุกเลยที่ได้ร่วมงานกัน ไม่ใช่แค่พี่นุ่นอย่างเดียวมันมีพี่อัค อัครัฐ, ตั้ม วราวุธ , จ๊ะจ๋า แดนดาว และ มีน อาลามินา ที่เขาเก่งมาก เอาจริงๆ เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเราเลย ถ้าเราแผ่วนิดเดียว คือเราหายไปเลย เราก็เลยต้องเต็มที่ ทุกคนมาเพื่อทุ่มเทกับงาน ผมเลยดีใจมากที่ได้ทำงานร่วมกับทีมนี้
เคยบอกนุ่นไหมว่าการที่ฟิล์มทำงานกับนุ่นเหมือนถูกลอตเตอรี่?
ไม่เคย เขิน เพราะว่าพี่นุ่นเป็นครูคนแรกๆ ที่สอนการแสดงของเราในฐานะเพื่อนร่วมงาน แบบครูภาคสนาม สัก 5 ปีที่แล้ว มันเป็นฉากที่พี่นุ่นมารู้ความจริงว่าผมไม่ใช่ลูกของเขา แต่เขาเลี้ยงผมมา 20 กว่าปี มันเป็นฉากที่ทุกคนตราตรึงมากในละครเรื่องเรือนเบญจพิษ ซึ่งเป็นซีนที่ทุกคนพูดถึง แล้วผมก็อยากรู้ว่าทำไมพี่นุ่นเล่นได้ดีขนาดนั้น ผมก็เลยถามแล้วก็ถามตลอดเวลา ซึ่งพี่นุ่นก็บอกทุกอย่าง พี่นุ่นไม่เคยกั๊กเราเลย ผมก็เลยรู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนครูคนแรกๆ ของเราเหมือนกันทางด้านการแสดง ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเก่งขึ้นได้ เพราะคำแนะนำจากเขา
อะไรบ้างที่เราเรียนรู้จากพี่นุ่นทางด้านการแสดง?
เรื่องการทำการบ้าน และเรื่องความตั้งใจ ความทุ่มเท ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยเพราะว่าพี่นุ่นเป็นคนที่ทำการบ้านได้ดีมาก แล้วก็ตั้งใจทำงานมี 100 เขาก็ทำ 1000 ตอนที่เรามีโอกาสได้ซ้อมกัน พี่นุ่นเล่าถึง แบล็คกราวสตอรี่ของตัวละคร แค่เล่านะไม่ได้เล่น แต่คนฟังแบบผมคือใจจะสลาย
แสดงว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ฟิล์มมีความประทับใจ?
หลายอย่างมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวพี่นุ่นเองก็ตาม รวมไปถึงพี่ๆ นักแสดงคนอื่นๆ ที่เขาทุ่มเทมากไม่ต่างกัน คือผมเคยได้เป็นแต่ผู้ชม แล้ววันนี้เราได้มาเห็นการทำงานของพี่ๆ ทีมเบื้องหลังทุกคน ผมก็เลยรู้สึกว่าโห ละครเวทีที่เราดู 1-2 ชั่วโมง มันทำงานหนักมากเลย ผมถ่ายละคร 7 โมง - 4 ทุ่ม ผมยังไม่เหนื่อยเท่าผมมาซ้อมละครเวที 1 วันเลย
ตอนนี้เรามีแค่ละครเวที?
ใช่ เคลียร์เพื่ออันนี้เลย เพราะเราไม่สามารถที่จะรับงานอื่นได้ เพราะเราซ้อมตั้งแต่ช่วงเที่ยงจนถึง 4 ทุ่ม อยู่โรงละครแบบนี้ทุกวันๆ แล้วเนื้อเรื่องมันเหมือนมีแค่ตอนเดียว แต่เราซ้อมตั้งแต่ต้นจนจบ วนไปเรื่อยๆ แต่ทุกครั้งที่เราเล่นทุกคนเต็มร้อย ผมว่ามันน่าจะใช้เอเนอจี้เยอะ มันเลยทำให้เราเหนื่อย แต่ว่ามันสนุก
เคยมีไหมความยากมันทำให้เรารู้สึกว่าไม่น่ารับเลย?
ไม่เคยมีครับ ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย รู้สึกดีใจมากที่รับละครเรื่องนี้ ยอมรับว่าเหนื่อยกว่าการถ่ายละครทีวี แต่ว่าไม่เคยรู้สึกเสียใจเลยที่รับละครเวทีเรื่องนี้ รู้สึกดีใจมากด้วยซ้ำ เพราะมันทำให้เราได้เจอคนเก่ง ทำให้เราโตขึ้น แต่ฟิล์มก็ถือว่าได้โอกาสได้เล่นละครเวที เร็ว เพราะหลายคนจะมองว่าละครเวทีมันเป็นศาสตร์ที่ยากมาก ดาราบางคนยังกลัว เพราะมันมีความสด
ผมพยายามคิดอย่างนี้ว่า ถ้าเราไม่ทำสิ่งที่ยากเกินความสามารถตัวเอง เราก็จะไม่มีทางโตขึ้น เพราะว่าถ้าเรายังทำสิ่งที่เรา ทำได้มันก็เท่าเดิม มันไม่มีอะไรมาดันความสามารถเราให้เราทะลุขึ้นไปอีก เราก็เลยรู้สึกว่ามันต้องไปดิ มันต้องได้ดิ ไม่รู้ว่าปลายทางมันจะดีหรือจะล้มเหลว แต่ผมรู้สึกว่าถ้าผมไม่ได้ลองมันก็ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงที่ผมจะเก่งขึ้น ถ้าผมได้ลองผมอาจจะทำไม่ได้ก็ได้ แต่อย่างน้อยผมยังมีโอกาสที่จะได้พัฒนาตัวเอง แล้วต่อให้วันนี้มันล้มเหลว ก็ไม่เห็นจะมีอะไรต้องเสียใจ เพราะเราก็ทำเต็มที่แล้ว
แล้วความคาดหวังส่วนตัวของเรา?
ไม่คาดหวังอะไรเลยครับ หวังแค่คนดูมีความสุข
แสดงว่าก็ไม่ถึงกับวาดไว้ใช่ไหมว่าจะเล่นเรื่องนี้ให้เป็นแบบนี้?
ผมว่ามันทำไม่ได้กับละครเวทีนะ เพราะว่าทุกๆ รอบที่มันเปิดม่านการแสดง ตัวละครมันตายแล้วเกิดใหม่ทุกรอบ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเพื่อนเราจะเล่นยังไงด้วย ถ้าเขามีมุกอะไรจังหวะแปลกใหม่มา ถ้าเราเซ็ตไว้ทุกอย่างแล้วมันก็ไม่ได้สื่อสารกันสิ แล้วก็อย่าลืมว่ามันไม่ได้มีแค่นักแสดงอย่างเดียว มันยังมีรีแอกชั่นจากคนดูที่มันส่งมาถึงเราด้วย คนดูแต่ละรอบก็ไม่ใช่คนเดิม ผมก็เลยรู้สึกว่ามันคือเมจิกที่เกิดขึ้นในโรงละครที่มันไม่เหมือนละครทีวี
ตัวละครมันตายแล้วเกิดใหม่ทุกรอบ คำนี้มาจากคุณบอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ ผมชอบประโยคนี้มันดี เพราะว่าคนส่วนใหญ่มันรีเซ็ตไม่ได้ แล้วผมรู้สึกว่าละครทีวี เราไม่สามารถพบเจอกับประสบการณ์นี้ พี่บอยเคยเล่าถึงนักแสดงละครบรอดเวย์เรื่องหนึ่ง ซึ่งผมจำชื่อเรื่องไม่ได้ แต่เป็นผู้หญิงและจำชื่อเขาก็ไม่ได้ คือเขาเล่าว่าเป็นเรื่องที่ดังมาก แล้วนักแสดงคนนี้ได้ทำการแสดงในรอบนั้น เป็นรอบที่เขาเล่นดีที่สุดในชีวิต โดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยว่าเขาเล่นดี
เขาเหมือนหลุดเข้าไปในโลกนั้น แล้วทุกคนต่างพูดถึง ชื่นชม แล้วเขาก็จำไม่ได้ด้วยว่าเขาเล่นอะไรไป แต่พอรอบใหม่มาเขาก็ต้องเริ่มใหม่ คือมันตายแล้วมันเกิดใหม่ ต่อให้รอบนี้เราจะเล่นดีที่สุดไปแล้ว เราก็อาจจะกลับไปเล่นดีได้เท่านั้นไม่ได้หรือเราอาจจะเล่นดีกว่านั้นอีกก็ได้ แต่ผมก็รู้สึกว่านักแสดงคนนั้นเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะออกไปได้ถึงเลเวลนั้น แต่ว่าความทุ่มเทผมรู้สึกว่าทุกองค์ประกอบมันผลักดันให้เขาไปอยู่ตรงนั้นจนได้ ผมว่าเราแค่เอ็นจอยไป กับการแสดง เรื่อง และก็สิ่งที่เกิดขึ้น ณ โมเมนต์นั้น ณ วันนั้นก็พอแล้ว เราอาจจะทำได้ดีมากๆ หรือจะทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่พรุ่งนี้ตัวละครเราก็เกิดใหม่อยู่แล้ว"
ใกล้แสดงแล้วความตื่นเต้นมันขนาดไหน?
ตอนแรกก็ไม่ตื่นเต้นหรอกนะ แต่โดนกดดันด้วยคำถาม ก็ยังไม่ได้ซ้อมบนเวที ยังไม่ได้ลองกับเสื้อผ้าจริง ยังไม่ได้ซ้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ขนาดนั้น ถามว่าตื่นเต้นไหม จริงๆ ก็มีความตื่นเต้นแหละครับ แต่พยายามไม่คิดถึงตรงนั้น พยายามซ้อมทุกวัน คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้มันสนุกที่สุด คนดูแล้วจะสนุกเหมือนเราไหม
ตอนนี้เหมือนเราไต่ระดับความยากของงานขึ้นอีกสเต็ป ฝีมือก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เรายังต้องไปอีกไหม?
ก็อาจจะเป็นบทบาทใหม่ๆ ครับ สักวันหนึ่งถ้ามีโอกาส ก็อยากเล่นมิวสิคัล พี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) บอกแคสฯ ให้ผ่านก่อนเถอะ (ยิ้ม) แต่ว่าในปีนี้ไม่ใช่แน่นอน เพราะว่าคิวเต็มแล้ว ถ้าซ้อมละครเวทีมันทำงานอื่นไม่ได้ เพราะเราต้องอยู่โรงละครซ้อมทุกวัน
ปีนี้ถ้าจบละครเวที มีอะไรหลังจากนี้อีกไหม?
ก็มีละครทีวีครับ แต่โปรเจกต์สั้น หนัง ยังรับได้อยู่ แต่ถ้าจะให้รับละครเวทีอีกเรื่องอะ เป็นไปไม่ได้ (แต่งานละครเราต่อเนื่องตลอดเลย?) ก็ว่างนานเหมือนกันนะ แม่หยัวจบตั้งแต่เดือนต.ค. แล้วไม่รู้ว่าละครเปิดกล้องเดือนไหน ถ้าประมาณมิ.ย. แต่มันก็มีงานอื่นบ้าง เป็นอีเวนต์ประปรายบ้าง แล้วที่เหลือจากนั้นเราก็ให้เวลาอยู่กับที่บ้านครับ ต้นปีที่ผ่านมาผมได้พาคุณแม่ไปเที่ยว แล้วก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างตามวัยของคุณแม่ เลยรู้สึกว่าอยากให้เวลากับเขามากขึ้น อยากพาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวมากขึ้น เพราะรู้สึกว่าไม่มีอะไรแน่นอน และกลัวว่าวันที่เรามีเงินมีเวลาแล้ว เขาจะเที่ยวไม่ไหว เพราะเขาแก่มากแล้ว
ก็เป็นปีที่เราจะต้องบาลานซ์เรื่องงานและชีวิตครอบครัวให้ดีขึ้นใช่ไหม?
ใช่ครับ เรารู้สึกว่าเขาเหนื่อยง่ายขึ้นตามอายุ อาจจะไม่ได้พาเขาไปเที่ยวอย่างเดียว แต่อาจจะหาเวลาทำกิจกรรมร่วมกัน ก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้มีฝุ่น pm 2.5 หนักขนาดนี้ ถ้าช่วงไหนผมว่าง ทุกเย็นก็จะพาคุณแม่กับแมวออกไปเดินเล่น
เป็นลูกชายที่มีโมเมนต์น่ารักเหมือนกัน?
ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าถ้าผมไม่ทำแบบนี้ ผมจะได้มีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกับเขาตอนไหน นั่งดูทีวีมันก็ไม่ได้พูดกัน แล้วผมก็ไม่ชอบออกไปกินข้าวนอกบ้าน มันก็ไม่รู้แล้วว่าจะได้ทำกิจกรรมอะไรด้วยกัน เคยคิดไว้ว่าจะพาเขาไปสมัครฟิตเนส ให้เขาไปเต้นซุมบ้าแล้วเราไปเต้นกับเขาด้วย คือเราได้ทำกิจกรรมร่วมกับเขา และคุณแม่ก็มีเพื่อนมากขึ้น ได้ออกกำลังกายด้วย
มองว่าตัวเองน่ารักไหม?
เพราะที่ผ่านมาผมไม่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้มากกว่า หรือทำได้น้อย บกพร่อง ใช้คำนี้ดีกว่า เรารู้สึกว่าเราบกพร่องในหน้าที่ของลูก ทำแต่งาน พอมาได้สติอีกทีหนึ่ง ก็คือพ่อกับแม่แก่ไปมากแล้ว เลยรู้สึกว่าถ้าไม่ใช่ตอนนี้อาจจะไม่มีโอกาสแล้วก็ได้ ยิ่งปีที่ผ่านมาผมเห็นคนรู้จักสูญเสียพ่อแม่ไปเยอะมาก พ่อแม่เพื่อนอายุน้อยกว่าพ่อแม่ผมอีก ก็เสียชีวิตจากโรคต่างๆ เลยรู้สึกว่าถ้าไม่ใช่วันนี้แล้วจะเป็นวันไหนวะ พูดกับตัวเองนะครับ ว่าจะรอให้เขาเดินไม่ได้ ให้เขานั่งวิลแชร์ก่อนเหรอ ถึงจะพาเขาไปเที่ยว มันไม่สนุกนะ การที่เราเข็นเขาไปบนทราย กับเขาเดินแล้วได้เหยียบทราย ได้โดนน้ำทะเล มันไม่เหมือนกัน ต่อให้เรามีเงินแค่ไหนก็ซื้อความรู้สึกของเขากลับมาไม่ได้ ก็เลยพยายามให้เวลากับเขามากขึ้น
ผมอาจจะทำได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ตามที่คิดหรอก อาจจะพูดไปเรื่อย แต่ว่าก็เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆ แล้วก็ตั้งใจจริงๆ ว่าอยากที่จะทำให้เขามีความสุขแบบนั้นให้ได้ ผมไม่อยากให้ทุกคนนั่งฟังแล้วรู้สึกดูเป็นลูกกตัญญูขนาดนั้น แต่มันเป็นสิ่งที่ผมคิดจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะทำตามที่คิดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า แค่ตั้งใจจะเป็นแบยนั้นให้ได้ เพราะบางทีพอเราเข้าสู่โหมดทำงาน เราก็ตัดทุกอย่างอยู่แค่งานจริงๆ บางทีผมก็ลืมว่ายังมีแม่นะ ยังต้องให้เวลากับเขา ยังมีแมวที่ต้องเลี้ยง หลังๆ ช่วงซ้อมละครเวที ผมก็แทบไม่ได้เล่นกับแมวเลย แต่เหมือนเป็นโชคดีเหมือนกันนะ ที่ผมมีแมว อย่างน้อยช่วงที่ผมซ้อมละครเวที แม่ก็มีแมวเป็นเพื่อน ผมฉุกคิดได้ในวันนี้ ก็ไม่รู้ว่าสายไปไหม แต่ก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ที่สุดครับ