
เหมือนอยู่ในมนต์สะกด "กบ ไมโคร" รับเป็นแม่ทีม The iCon Group มีถึง 8 ดีลเลอร์
"กบ ไมโคร" เข้าพบพนักงานสอบสวน ในฐานะผู้เสียหาย The iCon Group หลังเคยออกมาแฉ "ผมโง่เอง คงเอาผิดเขาไม่ได้" ก่อนเล่าเบื้องหลัง แม่ข่าย 8 ดีลเลอร์
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 15 ตุลาคม 2567 นายไกรภพ จันทร์ดี หรือ "กบ ไมโคร" นักดนตรีชื่อดัง เดินทางเข้าพบ พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) โดยทันทีที่มาถึงเจ้าตัวได้บอกเพียงสั้นๆว่า ในวันนี้ตัวเองเข้ามาให้ปากคำในฐานะผู้เสียหายคนหนึ่ง จากกรณีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด
ทั้งนี้ "กบ ไมโคร" เผยต่อว่า แต่ละครั้งที่เปิดดีลเลอร์จะมีทริปโปรโมชั่นจูงใจให้เรารีดีลเลอร์ ถามว่าได้กำไรจากการขายของไหม ได้ แต่พอไปถึงจุดหนึ่งมันขายไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางออนไลน์ หรือว่าขายกับคนรู้จัก ของมันเริ่มคา ก็เริ่มมีการถวายพระ มีการแจกให้ญาติกิน พอใกล้หมดอายุก็เริ่มขายตัดราคา เวลามีคนมาขอซื้อไป อันนี้ยอมรับว่าผิด ทุกคนจะอยู่ในเงื่อนไขนี้หมด เพราะเอาทุนคืนบางส่วน
(เหตุผลที่เปิด 10 ดีลเลอร์เพราะอะไร?) ระหว่างที่ทำไป ช่วงเวลาที่ทำที่นั่นปีกว่าๆ เราจะต้องอยู่ในมนต์สะกดของเขา ไม่เถียง ไม่ถาม ทำตามอย่างเดียว ทำตามคนสำเร็จ เวลารีดีลเลอร์เขาจะมีอยู่คำหนึ่ง ถ้าคุณไม่เปิดใครเขาจะเปิดกับคุณ คนที่อยู่ในไอคอนจะรู้ดี เราก็ต้องเปิด แล้วพอดีมีเงื่อนไขได้ไปเที่ยว มีไอนั่นไอนี่แถมมา เราก็เลยไป หวังว่าเราจะขายของได้ แต่ก็มีจุดหนึ่งที่เราขายของไม่ได้ เราไม่ได้ขายออนไลน์เลย
(สถานะคืออะไร?) ให้นิยามตัวเองว่าเป็นแม่ทีม ชัดเจนครับ มีคนที่รักกันตามมาเปิดดีลเลอร์กับผม 8 คน ทั้งหมดที่ตามมาผมไม่เคยปิดการขาย เพราะขายไม่เป็น เขาเหล่านั้นมาสมัครเป็นดีลเลอร์ด้วยตัวของเขาเอง 8 คนนี้ทำให้เราเลิกทำธุรกิจ เพราะขายของไม่ได้ เขาพยายามไปขายทุกทาง จนเรามาดูว่ามันเป็นธุรกิจขายของออนไลน์จริงหรือเปล่า เราเริ่มดุว่ามันคืออะไร และค่อยๆถอยออกมา และหาข้อมูลเท่าที่พอจะทำได้ แอบถามกับสมาชิกที่ลำบาก อันนี้เรื่องยาว
(ดีลเลอร์คิดว่าเราเป็นตัวการทำให้เขาเสียหาย?) เขามอบอำนาจให้ผมดำเนินคดี (คือไม่ได้เอาผิด แต่ให้เราหาความเป็นธรรม?) จริงๆทุกคนอยากได้เงินคืน แต่คนไม่ได้อยากได้เงินคืนคือผม เพราะไม่เคยคิดว่าจะได้เงินคืน เรายังไม่รู้เลยว่าจะชนะคดีหรือเปล่า เรายังไม่รู้เลยว่าเราสู้กับอะไร
ปัญหาใน The iCon Group มีมานานแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าฟ้องหมิ่นประมาท อยากพูดนานแล้ว แต่มีคนโดนฟ้องหมิ่นประมาท คนที่โดนฟ้องคดีจะสิ้นสุดวันที่ 28 นี้ ก็รู้จักกัน
ตนเลิกทำราวๆเดือน ก.ค. - ส.ค. ปี 2566 (เคยเจอบิ๊กบอสคนไหน?) บิ๊กบอสจริงๆมีอยู่คนเดียวคือบอสพอล นอกนั้นเป็นบอสรองลงมา เขาเล่ากันว่าพอลอยู่บนสุด ข้างล่างจะมี 10 คน ตอนแรกเราไม่รู้เขามาจากธุรกิจเครือข่ายแท้ๆ หลังจากที่ทำงานอยู่ในนั้น เริ่มมีข่าวกอซซิป พี่คนนั้นเคยทำบริษัท.. แล้วนี่คือทีม.. ที่เขามาด้วยกัน
ซึ่งเขายืนยันตลอดว่าเขาไม่ใช่ธุรกิจเครือข่าย เขาจะใช้คำว่าแฟรนไชส์ มันเป็นการเปิดบิล ไม่ใช่อัปไลน์ ดาวน์ไลน์ ไม่มีคำนี้ในบริษัท ไม่มีแม้แต่คำว่าแม่ทีมด้วยซ้ำไป ทุกคนเลยไม่รู้ว่ากำลังทำธุรกิจเครือข่าย ล้มกันหมดเลย (อะไรน่าเชื่อถือที่สุด?) คือตัวเลข หรือผลประกอบการ 4 พันกว่าล้าน ในเวลาไม่กี่ปี อันนี้ไม่ใช่ความโลภ แต่มันคือการหาความมั่นคงในการทำธุรกิจ ถ้าเราจะร่วมลงทุนทำธุรกิจขายของออนไลน์กับใคร
(4 พันล้านไม่ได้มาจากการขายของ?) กว่าจะเข้าใจว่าไม่ได้มาจากการขายของต้องใช้เวลา (คิดว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ไหม?) ณ เวลานี้ เพิ่งจะได้ยินคำว่าแชร์ลูกโซ่ ถ้าแชร์ลูกโซ่ไม่มีใครทำหรอก เพราะมันไม่รู้ไงว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ แม้กระทั่งไม่รู้ว่าเป็นธุรกิจเครือข่าย ถ้ารู้คงมาไม่ถึงตรงนี้
(ตอนที่อยู่ข้างในพูดเรื่องเทวดาไหม?) ไม่รู้เลย
(โดนไปเท่าไหร่?) ผมโดนไปล้านกว่า ของภรรยาตัวเลขประมาณไล่ๆกัน รวมแล้ว 2 ล้านกลมๆ ก็ฝากถามว่าผมเป็นผู้เสียหายหรือเปล่า (แล้วอีก 8 คน?) ลูกทีมคนละ 1 ดีลเลอร์ 8 คน คนละ 2.5 แสน ภรรยาผมก็พยายาช่วยขายของออกไป เอาทุนคืนส่วนนึงให้ได้ พอมันจะหมดอายุ 3 เดือน คือทำยังไงก็ได้ ลังละ 2.5 หมื่น คืนมาได้ 8 พันก็เอา
(ขึ้นเวทีมีสคริปต์ไหม?) มันมีกรอบ ผมไม่ใช้คำว่ามีสคริปต์ ในการพูดบนเวทีที่อิมแพ็ค 5 เดือนแรก บอกเลยว่าสุดชีวิตกับการขายของออนไลน์ มันจะมีวิธีพูดเชียร์อัปเจ้าของกิจการ โค้ช ไม่ใช่สคริปต์ทุกคำ เป็นวิธีที่จพบอกให้คนอื่นรู้ว่า ธุรกิจมันเปลี่ยนชีวิตเรายังไง มันมีวิธีที่เขาสอนเรา ซึ่งวิธีนี้คือธุรกิจเครือข่าย ถามว่าจิตวิทยาไหม ตอบไม่ได้เราไม่ได้เก่งขนาดนั้น