บันเทิง

เปิดภาพ "เพชรา เชาวราษฎร์" ชีวิตปัจจุบัน เส้นทางนางเอก สาเหตุมองไม่เห็น

เปิดภาพ "เพชรา เชาวราษฎร์" ชีวิตปัจจุบัน เส้นทางนางเอก สาเหตุมองไม่เห็น

21 ส.ค. 2567

ชีวิตปัจจุบัน "แม่อี๊ด เพชรา เชาวราษฎร์" เปิดภาพล่าสุด ถ่ายคู่ "ชรินทร์ นันทนาคร - มิตร​ ชัย​บัญชา​" ย้อนประวัตินางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง - สาเหตุสูญเสียการมองเห็นที่คนรุ่นใหม่เกือบลืม

แฟนละครไม่ว่าจะยุคสมัยไหนต้องเคยได้ยินชื่อของ "แม่ อี๊ด เพชรา เชาวราษฎร์" สวยทรงเสน่ห์ จนได้รับฉายา "นางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง" ล่าสุด ต้องสูญเสียสามีผู้เป็นที่รัก "ชรินทร์ นันทนาคร" ศิลปินแห่งชาติมากฝีมือ

 

 

ภาพล่าสุด ทางด้านของเพจ "เพชรา เชาวราษฎร์" เมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้ว โพสต์รูปภาพโมเมนต์ชวนซาบซึ้งขณะเพชราได้พบกับหุ่น​ขี้ผึ้ง​ มิตร​ ชัย​บัญชา​ จากผลงานของของ "ยอดชาย​ เมฆสุวรรณ" โดยมี "ชรินทร์ นันทนาคร" ผู้เป็นดวงตาคอยยืนอยู่เคียงข้าง 

ประวัติ 

"แม่อี๊ด เพชรา เชาวราษฎร์" เกิดที่ ต.น้ำคอก อ.เมือง จ.ระยอง เป็นบุตรคนที่ 4 จากพี่น้องทั้งหมด 7 คน จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนเกาะกลอย เมื่ออายุ 15 ปี ได้มากรุงเทพ และพักอาศัยอยู่กับพี่สาวและพี่เขย พร้อมกับช่วยงานที่ร้านเสริมสวยของน้องสาวพี่เขย ก่อนจะได้รับการชักชวนให้เข้าประกวดเทพธิดาเมษาฮาวาย ประจำปี 2504 และคว้ารางวัลชนะเลิศ 

เปิดภาพ \"เพชรา เชาวราษฎร์\" ชีวิตปัจจุบัน เส้นทางนางเอก สาเหตุมองไม่เห็น

 

 

จุดเริ่มต้นวงการบันเทิง

เมื่อ พ.ศ. 2505  "ศิริ ศิริจินดา และ ดอกดิน กัญญามาลย์" ให้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต "บันทึกรักของพิมพ์ฉวี" ขณะอายุ 19 ปี แสดงคู่กับ "มิตร ชัยบัญชา" โดย "ดอกดิน กัญญามาลย์" เป็นผู้ตั้งชื่อ "เพชรา เชาวราษฎร์" จากเดิมที่ชื่อว่า ปัทมา และ "เจน จำรัสศิลป์" ได้ตั้งฉายาให้ว่า "นางเอกสาวนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง" 

 

 

ระหว่างปี 2505 - 2521 เพชราสร้างผลงานประดับวงการกว่า 300 เรื่อง ก่อนจะฝากผลงานผลงานภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายในปี 2521 เพชราได้ฝากคือ "ไอ้ขุนทอง" ซึ่งเธออำนวยการสร้าง และแสดงเป็นแม่ของพระเอก รับบทโดย "สรพงศ์ ชาตรี" 

 

 

เปิดสาเหตุสูญเสียดวงตา

 

ย้อนไปเมื่อปี 2513 ขณะถ่ายทำภาพยนตร์ "ไทยใหญ่" เพชนราเริ่มประสบปัญหาด้านการมองเห็น สืบเนื่องมาจากทำงานหนัก จนไม่ได้พักสายตา และต้องรับบทร้องไห้อยู่นับครั้งไม่ถ้วน ประกอบกับระหว่างถ่ายทำต้องใช้แสงไฟ แผ่นรีเฟล็กซ์ ส่งผลให้กระทบกับจอกกระจกตาอย่างเลี่ยงไม่ได้ จนปัญหาเรื่องดวงตาค่อยๆลุกลามหนักมากยิ่งขึ้น

 

อีกทั้งด้วยหน้าที่ทางการงานยังทำให้ไม่มีโอกาสได้ไปหาแพทย์ตามนัด และยังแพ้ยาที่ใช้รักษาตัวจนน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 60 ก.ก. (จากเดิม 47-48 ก.ก.) ทั้งยังผมร่วง มีฝ้าดำขึ้นทั่วทั้งร่างกาย และอาการหนักหายใจไม่ออก กลืนน้ำไม่ได้ หลังจากเข้ารักษาตัวโรงพยาบาล การทำงานของไตหยุด พิษยาทำให้ตัวบวม จนต้องรอให้พิษยาลดลง จากที่เคยสวมแว่นดำ และนั่งแท็กซี่ไปไหนมาไหนได้เอง ตอนหลังก็มองไม่เห็น ออกไปไหนคนเดียวไม่ได้ ต่อมา ได้เข้ารับการผ่าตัดดวงตา แต่ผลกลับทำให้ยิ่งเลือนราง และในช่วงกลางปี 2524 กลายเป็นบอดสนิทในที่สุด หลังจากนั้นก็ห่างกายจากวงการไป ในช่วงตลอดปลายปีที่ผ่าน มีหลายคนประสงค์ที่จะบริจาคดวงตาให้สามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง แต่เป็นไปได้ยากเนื่องจากเสียที่ประสาทตา ไม่ใช่แค่ดวงตา 

ขอบคุณภาพจากหอภาพยนตร์

 

 

"ชรินทร์ นันทนาคร" เคยให้สัมภาษณ์กับรายการ คุยแซ่บShow เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 ซึ่งได้เผยถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ภรรยาสุดที่รักต้องสูญเสียการมองเห็นไปตลอดกาลว่า แม้ทุ่มเทเวลาไปกับการรักษาอยู่หลายปีถึงขนาดเข้ารับการผ่าตัด แต่ก่อนจะตาบอดสนิท คุณหมอเคยขอร้องให้เลิกทำงานนี้ แต่เมื่อมีคนก็มาอ้อนวอนก็ต้องไป

 

 

ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2552 เพชรา ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการโทรทัศน์ครั้งแรกในรอบ 30 ปี ในรายการ วู้ดดี้เกิดมาคุย พร้อมเปิดใจโดยที่ไม่ได้เปิดเผยใบหน้าและบอกสาเหตุที่เก็บตัวเงียบ ไม่ยอมออกรายการโทรทัศน์ แต่ยังคงไม่เปิดเผยหน้าตา

 

 

กระทั่ง ก.ค. 2552 เพชราได้รับงานโฆษณาลิปสติกมิสทีน จากการเข้าติดต่อการเจรจาถึง 9 ครั้ง โดยรายได้จากงานครั้งนี้เพชราจะบริจาคให้องค์กรการกุศลทั้งหมด ส่วนหนึ่งจะมอบให้กับมูลนิธิคนตาบอดแห่งประเทศไทย

 

 

เมื่อประมาณกลางเดือน ก.ย. 2552 โฆษณาประชาสัมพันธ์ได้แพร่ภาพ โดยตัวแรกที่นำเสนอภาพของเพชราในอดีต และตัวที่ 2 งมีพรีเซนเตอร์ของมิสทีนคนก่อนๆ มาพูดถึงจุดเด่นของโฆษณาตัวนี้ ซึ่งนับว่าเป็นโฆษณาทางโทรทัศน์ตัวแรกที่เพชรายอมปรากฏใบหน้าให้เห็นในรอบกว่า 30 ปี