บันเทิง

"เส้นทางของผมมันยากกว่าคนอื่น" ชีวิตขมขื่นของ "ตุ้ย" เกียรติกมล

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

กำลังตีบทแตก ร้ายได้ซะใจคนดูในขณะนี้ สำหรับ "ตุ้ย" เกียรติกมล ล่าทา กับบทบาทของ "อัพภันดร์" ในละครเรื่อง "จงกลกิ่งเทียน" อีกทั้งกำลังมีผลงานเพลงในโปรเจกท์พิเศษ "เดอะ วินเนอร์ส โปรเจกท์" ซึ่งเป็นงานเพลงที่รวม 6 นักล่าฝัน วิทย์ เอเอฟ 1 อ๊อฟ เอเอฟ 2 ตุ้ย เอเ

 แหม...กำลังรุ่งเรื่องงานแบบนี้ เลยขอคว้าตัวนักร้องหนุ่มและนักแสดงสุดฮอตมาล้วงลึก ถึงก้นบึงหัวใจกันดีกว่า ว่าหนุ่มตุ้ยมีทีเด็ดอะไรถึงได้ครองใจแฟนคลับได้เหนี่ยวแน่น    
 
งานในวงการบันเทิง
ช่วงนี้งานมะรุมมะตุ้ม

 เป็นช่วงจังหวะชีวิตมากกว่าที่มีทั้งงานละครกับงานเพลง เป็นโอกาสดี ที่ตอนนี้ยังไม่ได้หยุดเลยกับงานละคร ก็ต้องขอบคุณผู้จัดละคร และทางผู้ใหญ่ทางทรู แฟนเทเชียด้วย

กับงานเพลงล่าสุด
   เดอะ วินเนอร์ส โปรเจกท์ เป็นโปรเจกท์ใหญ่โปรเจกท์หนึ่ง เป็นการรวมตัวของเดอะวินเนอร์ ทั้ง 6 ซีซั่น เป็นโอกาสดีที่ได้ออกซิงเกิ้ลพร้อมกันแล้วจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ในวันที่ 22 พฤษภาคม ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ซึ่งจะเป็นการแสดงตัวตนของแต่ละคน แต่ละคนมีคาแรกเตอร์ยังไง แนวเพลงของผมจะเป็นตัวเองมากขึ้น จะเป็นแนวเพลงบัลลาดร็อก  คือเป็นอะไรที่ทำอะไรได้เยอะขึ้น ถ้าเทียบกับเพลงเก่าๆ ที่ผมเคยร้องมา ก็จะเป็นตัวเองเยอะขึ้น ยิ่งได้โปรดิวเซอร์มือดีมา แล้วก็เป็นไอดอลของผม อย่าง พี่แมว (จิระศักดิ์ ปานพุ่ม) ทำให้คุยงานกันง่ายขึ้น แก้งานอยู่ 2 ครั้งเองมั้ง คุยกันก็รู้เลย ว่าชอบแบบนี้ๆ ตอนนี้ก็เปิดมาแล้วซิงเกิ้ลหนึ่ง ซึ่งแต่ละคนจะมีคนละ 2 ซิงเกิ้ล ก็อยากให้ลองฟังดู 

กระแสตอบรับจากละครเรื่อง "จงกลกิ่งเทียน" เป็นอย่างไรบ้าง
 เริ่มมีคนกล่าวขานเยอะ หลายคนบอกว่าทำไมร้ายจัง ซึ่งเราก็ดีใจกับคำชมในแนวด่า (หัวเราะ) ก็โอเค เป็นอีกบทบาทหนึ่ง ที่เราไม่เคยเล่น เราเคยเล่นร้ายมาครั้งหนึ่ง แต่ร้ายไม่ถึงขนาดนี้ ตอนนั้นเราไม่สามารถปรับตัวได้ แล้วไม่มีการเตรียมพร้อมได้ขนาดนี้ แต่เรื่องนี้เราเตรียมตัวเยอะมาก ก็หายเหนื่อย เมื่อมีคนชม เพราะเรื่องนี้ยากมาก

หันมาเอาดีกับบทร้าย
 เป็นช่วงจังหวะมากกว่า เป็นการเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะละครทุกๆ เรื่อง เป็นการนับหนึ่งทุกครั้ง เราพยายามไม่คิดว่าเราเก่ง พยายามทำการบ้านให้มากที่สุด

แฟนคลับรับได้ไหมกับการเล่นบทร้าย
 เขาก็รอดู เหมือนเป็นการไม่เบื่อด้วย เป็นการสลับสับเปลี่ยนบทบาทกันไป อย่างเล่น ผู้ใหญ่ลีกับนางมา  กวนๆ ซะขนาดนั้น พอมาเล่น เขยบ้านนอก ก็ออกแนวตลก ฮา ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นร้ายอีกแหละ

ผ่านทั้งงานเพลง หนัง ละคร  อยากทำอะไรอีกในวงการบันเทิง
 เอาแค่เรื่องละครแล้วกัน บทบาทยังเล่นไม่ครบเลย ยังมีหลายบทบาทที่น่าลิ้มลอง แต่เป็นช่วงจังหวะ และเวลาดีกว่า งานชิ้นอื่น ก็เกือบครบแล้วนะ เพราะพิธีกร ก็เคยทำมาบ้าง แต่ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ดีเจก็เคยไปลองดูแล้ว เพียงแต่เราจะทำอันไหนได้ดีที่สุด แต่กับบทบาทในละคร เรายังมีบทที่ไม่เคยเล่น คือ บทกะเทย ตุ๊ด ผี บู๊ ก็คงแล้วแต่ผู้จัด เขาคงดูตามความเหมาะสม เราก็ไม่เลือกอยู่แล้ว เล่นได้หมด

ชื่อเสียงและข่าวค(ร)าว
เคยคิดไหมว่าวันหนึ่งจะมีวันนี้ จะได้เป็นนักร้อง-นักแสดง
 ไม่เคยเลยแม้แต่นิดเดียว แค่อยากทำให้สิ่งที่ตัวเองชอบ ไม่คิดว่าขนาดต้องมาออกเทป แต่เราทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ  เราก็ดีใจแล้ว แค่ได้ร้องเพลงตอนกลางคืนก็ดีใจแล้ว  ตอนที่ผมเป็นนักร้องกลางคืน เคยมีคนมาทักผมว่าอีก 2 ปี จะดัง ตอนนั้นยังไม่เชื่อเลย จะเป็นไปได้ยังไง มันทำให้เรารู้ว่าทุกสิ่งเขาขีดไว้อยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับเราจะได้เจอเมื่อไหร่ แล้วเราต้องเจออะไรก่อน จนผมได้มีวันนี้ แต่ผมก็เจออะไรมาเยอะกว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้ เส้นทางของผมมันค่อนข้างยากกว่าคนอื่น

 มีคนมาถาม ว่าเป็นตุ้ย เอเอฟ ได้ยังไง ผมก็บอกคนอื่นว่าอย่าพยายามหวังมาก มันจะยิ่งเจ็บ มีพ่อแม่เด็กมาถามผมว่าทำยังไง เพราะอยากให้ลูกตัวเองเป็นบ้าง ผมว่าอย่าพยายามเลย ทำแต่ละวันให้ดีที่สุดดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ล่วงหน้า วันหนึ่งเมื่อมาถึงก็มาถึงเอง แต่การมีชื่อเสียง ไม่ได้ทำให้ผมเปลี่ยนไปจากเดิม ผมยังกินข้าวริมถนนได้ สิ่งที่เปลี่ยนคือฐานะการเงิน ที่ทำให้เราเลี้ยงดูพ่อแม่ให้สบายขึ้น แล้วก็หน้าที่งานที่เราต้องรับผิดชอบมากขึ้น นอกนั้นก็เหมือนเดิม

มีแฟนคลับเหนี่ยวแน่นแบบนี้ อีกทั้งเป็นคนมีชื่อเสียง กลัวไหมว่าวันหนึ่งจะหลงระเริงไปกับตรงนี้
 เราไม่ทิ้งการดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ ของเรา ที่เราเป็นตุ้ย คนธรรมดา ทุกวันนี้เราหาเงินได้เยอะ มีรถดีๆ ขับ  แต่เราไม่ใช้เงินเป็นเบี้ย ไม่เปลี่ยนการใช้เงิน ไม่ได้เปลี่ยนการดำเนินชีวิต มันก็เลยทำให้เราไม่ลืม ว่าเราเคยเหนื่อย เคยแย่มาก่อน บางทีผมไปนั่งกินข้าว เขาก็มาบอกผมว่าตุ้ยมากินตรงนี้ได้ยังไง 

มีทั้งชื่อเสียงและเงินทอง คิดว่ามีทุกวันนี้ได้เพราะอะไร
 น่าจะเป็นตัวเราเอง กับการที่เราตั้งใจทำให้ดีที่สุด แล้วก็มีความเป็นตัวเราอยู่ตลอด ตลอดระยะเวลา 4 ปี ไม่เคยเปลี่ยนตัวเราเอง ถึงแม้ว่าคนรอบข้าง  หรือใครหลายๆ คน มองเราไปอีกแง่ว่าตุ้ยหยิ่ง ตุ้ยเปลี่ยนไป ของแบบนี้ถ้าเขาไม่ได้มาสัมผัสเขาก็จะไม่รู้หรอก  แต่เราเข้าใจ ว่ามีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด  ตรงนี้เราไม่สามารถห้ามความคิดคนอื่นได้ พยายามใช้ชีวิตให้ดีที่สุด

ท้อไหมถูกมองว่าเป็นคนหยิ่ง ถูกมองว่าตุ้ยเปลี่ยนไป 
 ในบางมุมมก็มีคิดนะ ทำไมต้องคิดกับเราแบบนี้  เราก็น้อยใจเหมือนกัน แต่คิดไปก็บั่นทอนตัวเราเอง เราหันมาตั้งใจทำงาน แล้วก็ตอบแทนแฟนๆ เราดีกว่า มันจะมีประโยชน์มากกว่าไหมกับการที่เราจะมานั่งเครียด ร่ำไห้กับสิ่งที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้เป็น

ได้กำลังใจจากใครเมื่อเวลาท้อใจ 
 คือตัวเราเอง เราพยายามไม่ทิ้งตัวเราเอง ไม่ลืมตัวเราเอง เรายังยืนอยู่ในความเป็นตุ้ยเหมือนเดิม ไม่ว่าเราจะเป็นตุ้ย เอเอฟ 3 เดินไปตามพื้นที่ต่างๆ เขาจะเรียกเราว่า  ไอ้นวน จากเรื่อง เขยบ้านนอก หรือตอนนี้เขาจะเรียกว่า อัพภันดร์ เราจะเป็นอะไรก็ตาม ยังมีความเป็นตุ้ยเหมือนเดิม และคนต่อไปที่มีความสำคัญในการที่ทำให้เราอยู่ได้ คือพ่อกับแม่ ชี้แนวทางเรามาตั้งแต่เล็กๆ จนมาถึงทุกวันนี้ และคนที่ยังรักเราได้ทุกวัน โดยไม่มีเหตุผลอะไรกันมากมาย คือแฟนคลับ

เคยคิดไหมถ้าวันหนึ่งไม่มีแฟนคลับ เราจะอยู่อย่างไร
 น่าจะแย่นะ (หัวเราะ) ทุกวันนี้เราก็พยายามทำให้ดีที่สุด แล้วก็ดูแลให้ดีที่สุด ไม่ให้ใครรู้สึกแย่กับการที่เราดำเนินชีวิตอยู่ในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นตัวเราเอง พ่อแม่ แฟนคลับ เพื่อนฝูง

ที่ผ่านมาเจอข่าวคราวแง่ลบค่อนข้างเยอะเหมือนกัน
 อย่างที่บอกกว่า แทนที่เราจะเอาเวลามานั่งเสียใจ เซ็งกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราเอาเวลามาทำงาน ผลิตผลงานให้ดีที่สุด เพื่อเป็นการตอบแทนคนที่ชื่นชอบเราดีกว่า เพราะเรายิ่งมาเครียดก็ยิ่งบั่นทอนตัวเราเอง ก็มองโลกในแง่ดีกว่า ว่าพี่ๆ นักข่าวเขาไม่ลืมเรา

ข่าวไหนที่คิดว่าแรงที่สุด
 อย่างข่าวว่าแม่ยกซื้อรถให้ ผมก็ไม่ชอบนะ ตอนนั้นผมถ่ายละครตั้งนาน เก็บเงินซื้อเอง ผมก็น้อยใจนะ  ทำไมต้องเป็นแบบนี้ แต่ทุกวันนี้ใครจะหาว่าใครซื้ออะไรให้ ก็ไม่คิดแล้ว เพราะเรารู้ว่าเราเป็นยังไง

ความรักฉบับตุ้ย
ตอนนี้หัวใจเป็นสีชมพูอยู่ไหม

 อยู่วงการมา 4  ปี ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราวกับใคร ด้วยความที่เพื่อนฝูงก็เยอะ แล้วก็ไม่ได้อยากจะจบชีวิตความเป็นโสด ถ้าจะมีใครสักคนคือเราอยากให้มันจบไปเลย คือแต่งงานเลย ผมอายุ 27 ปีแล้ว ผมเป็นคนคิดอะไรไวกว่าอายุ อย่างตอนอายุ 15-16 ผมคิดว่าอายุ 21 จะมีเงินเลี้ยงแม่ไหม  เราก็ต้องขอบคุณจังหวะโอกาสชีวิตที่ทำให้เราเลี้ยงแม่ได้ เรื่องความรักก็เป็นสิ่งที่ผมคิด ถ้าไม่ใช่ก็อย่าดีกว่ามั้ง

กับสาวนอกวงการที่บอกว่าดูๆ อยู่ล่ะ
 ก็มี แต่พอมันไม่ใช่ก็ไป เราก็ดูไปเรื่อยๆ ดีกว่า ยังไม่อยากที่จะหยุดที่ใคร คือตอนนี้มีเพื่อนๆ ทั้งผู้ชายผู้หญิ ถามว่าเหงาไหม ไม่หรอก เรามีเพื่อน คือเรามีเวลาไม่เยอะ จะมีสักกี่คนที่จะยอมรับกับชีวิตคนในวงการได้บ้าง เขาจะมีความสุขกับการที่อยู่กับเราเหรอ  ตัวเราเองยังมีอารมณ์เลย ว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ๆ  แล้วเขาจะคิดแบบนั้นหรือเปล่า

เหมือนไม่คาดหวังกับเรื่องความรัก 
 มีก็มี ไม่มีก็ไม่เป็นไร ชีวิตผมเรื่อยๆ ไม่ซีเรียส

มุมมองความรักเปลี่ยนไปไหม
 ยังเหมือนเดิม สมัยเด็กเราไม่คิดถึงเรื่องอนาคต แต่ตอนนี้คิดแล้ว แม่เริ่มบ่น ว่าอยากอุ้มหลานแล้ว ยิ่งต้องคิดถึงความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โอเคตัวอย่างมันเยอะ คนอายุ  30-35 เขายังโสด เราก็คิดสะท้อน ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร แม่ผมก็พูด ว่าอยากมีหลานมาหลายปีแล้ว เพราะเขาเริ่มเหงา

กลัวไหมว่ามีแฟนแล้วเรตติ้งจะตก
 ไม่นะ ด้วยความที่เรามีเรื่องส่วนตัว แต่ไม่ได้ปิดอะไรมากมาย ผมบอกพี่นักข่าวหลายครั้งแล้ว ว่าถ้าผมพร้อมผมจะบอก ถ้าผมไม่พร้อม ผมก็ไม่บอก เพราะถ้าบอกไปแล้ว เวลาเลิกกันอายเปล่าๆ คือถ้าผมคบถึงขั้นแต่งงานด้วย ผมบอกแน่ๆ ไม่ปิดบังหรอก
 ชัดไหมล่ะทุกคน...

เรื่อง... "เพ็ญนภา ดำเล็ก"
ภาพ... "วริศรา วุฒิกุล"

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ