บันเทิง

“แหม่ม-ปุ้ม” รีเทิร์น
ปั้นเพลงใหม่ในรอบ 20 ปี

“แหม่ม-ปุ้ม” รีเทิร์น ปั้นเพลงใหม่ในรอบ 20 ปี

20 มี.ค. 2553

หากย้อนเวลากลับไปเกือบ 30 ปีที่แล้ว ชื่อของวง “สาว สาว สาว” จัดว่าเป็นศิลปินกลุ่มหญิงกลุ่มแรกๆ ที่โด่งดังเป็นพลุแตก และยังคงถูกพูดถึงมาทุกวันนี้ เวลาผ่านไปกว่า 20 ปี ท่ามกลางกระแสจากแฟนคลับ ที่อยากเห็นสมาชิกทั้ง 3 ได้แก่ “แอม” เสาวลักษณ์ ลีละบุตร “แหม่ม”

  แหม่ม และ ปุ้ม เล่าให้ฟังถึงการกลับมาทำงานเพลงร่วมกันอีกครั้งในรอบ 20 ปี ว่าเกิดจากทั้งคู่ทำงานเป็นครูสอนร้องเพลงอยู่ที่อาร์เอสด้วยกัน เมื่อบริษัทเห็นว่าทำงานอยู่บริษัทเดียวกันอยู่แล้ว จึงชักชวนให้มาทำเพลงคู่กัน

 “ที่ผ่านมาเราไม่เคยขอทำเลย เพราะเรามีความรู้สึกว่าไม่อยากให้ใครรู้สึกว่าพยายามจะเป็น สาว สาว สาว อยู่ตลอดเวลา ทำให้ที่ผ่านมาใครมีงานของตัวเองก็ทำไป แต่พอดีอาร์เอสมีไอเดีย ก็เลยมาบอกเอง ซึ่งพอบอกมาเราก็ดีใจมาก โอเคเลย ไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ”

 ถามต่อว่าเป็นเพราะจริงๆ แล้ว คิดถึงอารมณ์ตอนที่ทำ “สาว สาว สาว” ด้วยหรือเปล่า เลยไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ

 “คิดถึง เพราะว่ามันเป็นความทรงจำเช่นกัน ทำกันมาเป็น 10 กว่าปี เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่อะไรที่ลืมง่ายอยู่แล้ว แล้วยิ่งเรามีโอกาสมาทำงานด้วยกันอีก นี่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ จริงๆ ก็ชอบทำงานด้วยกันอยู่แล้ว จะหาคนที่ทำงานด้วยกันแบบที่ไม่ต้องพูดอะไรกันเยอะยาก

 พวกเราทั้งสามคน คือไม่ต้องพูดอะไรกันมาก แค่มองหน้ากัน ก็รู้ว่าจะร้องไลน์ไหน หรือแค่พยักหน้ากันก็รู้ อ๋อ...จะร้องประสานใช่ไหม ไม่ต้องมาอธิบายให้เยิ่นเย้อ คือการทำงานกับคนอื่นวันนี้ก็ทำได้นะ เพราะวันนี้คุณต้องเป็นมืออาชีพแล้ว แต่ทำงานกับคนอื่นมันก็คือทำงาน ก็ต้องมีการเรียนรู้หรือว่าต้องปรับ แต่ทำงานสามคนไม่ต้องปรับอะไร มันสามารถทำต่อเนื่องจากสิ่งที่เคยทำมาก่อนได้เลย ซึ่งก็ชอบตรงนี้แหละ”

 เมื่อถามต่อการที่ไม่เห็น “แอม” เสาวลักษณ์ มาร่วมแจมด้วย เพราะปัญหาเรื่องค่ายใช่หรือไม่ แหม่ม ตอบแทนว่า

 “ไม่ใช่ ตอบให้ได้เลยไม่ใช่เรื่องค่ายเลย เรื่องของพวกเรากันเองนี่แหละ เราไม่เคยคิดฝันจะทำ สาว สาว สาว อีกครั้งอยู่แล้ว เรารู้กันมาตลอดว่า สาว สาว สาว มันคืออะไรที่ต้องสามคนทำแล้วแฮปปี้ ถ้ามีคนใดคนหนึ่งยังไม่พร้อมก็คือทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ฝัน ไม่คิด ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่สามคนยังไม่เดินมาจับมือกันว่า เฮ้ย! อยากทำ มันก็คือไม่มี พี่แอมมีงานของเขา ซึ่งคิดว่าตรงจุดนั้น เขาก็มีความจำเป็นที่จะต้องทำต่อเนื่อง ไม่มีเวลาจะมานั่งทำ สาว สาว สาว แน่ เหมือนกับต่างฝ่ายต่างยังไม่มีอะไรให้ทำ และไม่พร้อมที่จะมาคุยกันเรื่องนี้จริงๆ

 จริงๆ เรื่องการเป็นเพื่อนกันไม่เคยเปลี่ยนเลย ตอนที่แยกจากการเป็นสาว สาว สาว ก็คือเราอยากจะแยก ไม่ได้มีใครมาบังคับ หรือไม่ได้มีใครมาบอก ว่าพวกเธอต้องเลิก เราอยากเลิกด้วยกันจริงๆ เพราะรู้สึกว่า 10 ปีที่อยู่ด้วยกันในการเป็น สาว สาว สาว มันนานพอแล้ว ดังนั้นควรมีหนทางเป็นของตัวเองแล้ว เมื่อเลือกอย่างนั้นแล้ว ก็ไม่เคยมีการกลับมานั่งหวนอาลัย ว่าทำไมไม่กลับมาทำด้วยกันอีก คิดตรงกันว่าเมื่อแยกไปแล้วต่างคนก็ต่างไปทำ แต่ สาว สาว สาว ก็คือจุดที่เราพูดถึงแล้วมีความสุข การที่จะมารวมกันอีก บางครั้งก็มีคำถามเหมือนกันนะว่าก็เลิกกันไปแล้ว จะให้รวมกันอีกเพื่ออะไร” แหม่มร่ายยาวให้ฟังต่อ

 หันมาถามถึงการทำงานครั้งนี้ แหม่ม และปุ้ม ยอมรับด้วยว่าเวลาที่เปลี่ยนไป ทำให้ต้องมีการปรับตำแหน่งของเสียงใหม่

 “มันเปลี่ยนไปตามวัย คำว่าวัยนี้หมายถึงวัยของเวลา เมื่อเวลาเปลี่ยนการเรียนรู้ต่างๆ เทคนิค ทักษะเปลี่ยนเพราะฉะนั้นมันก็เปลี่ยนไปโดยปริยาย ส่วนเพลงมันก็เป็นเพลงสมวัยเราอยู่แล้ว เรื่องของความรัก รายละเอียดของดนตรีต่างๆ มันก็เป็นเพลงสไตล์ของพวกเราสองคน

 หลายๆ คนอาจจะมองว่าเราเป็นคุณครูสอนร้องเพลงเราต้องร้องเพลงพื้นฐานดีนะ เราก็ตั้งใจให้มันออกมาดูแบบว่าอย่างน้อยคนฟังเขาจะได้รู้สึกว่าไม่ผิดหวังนะที่เราสองคนมาร้องด้วยกัน ไม่ใช่ฟังแล้วไม่เห็นมีอะไรเลย ก็ไม่ใช่”

 ส่วนเรื่องแนวเพลง แหม่ม บอกว่าย่อมแตกต่างจากสาว สาว สาว อย่างแน่นอน แม้จะมองว่าเป็นเพลงช้าเหมือนกัน แต่ในเรื่องของการเรียบเรียงเสียงประสาน ในแง่ของดนตรีจะร่วมสมัยขึ้น เพราะจะไปยึดแบบ สาว สาว สาว ก็คงไม่เข้ากับยุคสมัย

 “ถามว่าเรากดดันหรือเปล่า ไม่กดดันนะ สนุก ได้ร้องเพลงด้วยกันสบาย แม้ว่าเราจะเป็นครูสอนร้องเพลงแล้วก็ตาม เพราะโดยพื้นฐานของนิสัย ทำอะไรชุ่ยๆ ไม่เป็นอยู่แล้ว ฉะนั้นมันก็ต้องมีมาตรฐานระดับหนึ่ง การที่คนอื่นจะคาดหวังแน่นอนรู้ แต่ก็ไม่เอาการคาดหวังของคนอื่นมาแบกไว้กับตัว ขอให้ทำให้มันดี อยู่ในมาตรฐานหรือเกินมาตรฐานที่เราสนุกก็เชื่อว่านั่นแหละตอบโจทย์ของความคาดหวังกับทุกคนแล้ว” 

 สุดท้ายเมื่อถามถึงคอนเสิร์ตใหญ่อีกครั้งที่เป็นของทั้งคู่จริงๆ สองสาวตอบไปในทิศทางเดียวกัน ว่าคนเป็นนักร้องทุกคนอยากมีโชว์ของตนเอง หากมีโอกาสก็ดี แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ได้เป็นลักษณะแบบว่าอยากจะมีเหลือเกิน ถ้าไม่มีก็ใช้ชีวิตประจำวันกันไป