
วันนี้ของวันวาน"พั้นช์"วรกาญจน์ โรจนวัชร
จากสาวตาดำๆ ผู้กำไมค์ครองใจแฟนเพลงทั่วประเทศ สู่บทบาทการแสดงไล่ตั้งแต่ภาพยนตร์ "โปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต" ล่าสุดกับละครจอแก้ว "ทัดดาว บุษยา" เธอคนนี้ "พั้นช์" วรกาญจน์ โรจนวัชร ถือเป็นนักร้องอีกคนที่ก้าวสู่บทบาทการแสดงอย่างเต็มตัว วันนี้เราชวนไปนั่งคุยแบบ
"อะไร" คือบทบาทที่เธอได้รับ และ "อะไร" คือสิ่งที่เธอเลือกเป็น...ติดตามตัวตนของเธอได้จากบรรทัดต่อไป
ชีวิตอีกหนึ่งบทบาท
รับบทบาทในเรื่อง "ทัดดาว บุษยา" ต้องปรับเปลี่ยนขนาดไหน
ต้องปรับตัวเหมือนกัน เป็นการทำงานกับอีกหนึ่งทีม ที่เรายังไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ได้มาร่วมงานกับทีมช่อง 3 ทีมนี้ก็ทำงานสบาย ทำงานง่าย ทุกคนดูแลอย่างดี เป็นกองถ่ายที่น่ารัก เรื่องคิวงานก็มีการปรับเปลี่ยนด้วย อย่างบางทีนัดกองตี 5 บางทีก็ต้องมีไปถ่ายต่างจังหวัด ความรับผิดชอบก็มากขึ้น การทำงานกับคนหมู่มาก การตรงต่อเวลา สำคัญมาก ก่อนหน้านี้ พั้นช์ก็ไปเรียนแอ็กติ้งกับพี่ปอ (ทฤษฎี สหวงษ์) รถเมล์ (คะนึงนิจ จักรสมิทธานนท์) ว่าน (ธนกฤต พานิชวิทย์) เรียนกันประมาณเกือบ 2 เดือน เหมือนทำให้เราคุ้นเคยกันก่อนถ่ายจริง ได้รู้จักคนใหม่ๆ ซึ่งแต่ละคนก็น่ารัก
ส่วนเรื่องลุคก็ไม่ได้ปรับเปลี่ยนเยอะ ในเรื่องต้องรับบทเป็นผู้ชาย ด้วยบุคลิก การเดิน การพูด เสื้อผ้าหน้าผมมันพาให้เราเป็นผู้ชายได้ ผู้จัดอย่างพี่ตู่ (ปิยวดี มาลีนนท์) เลยเลือกพั้นช์มา เพราะปลอมเป็นผู้ชายไม่ยาก
ความรู้สึกก่อนและหลังกับการได้ทำงานละคร
ตอนแรกไม่ได้คิดจะทำงานละคร พอดีช่อง 3 ติดต่อมา แล้วเราก็ออกอัลบั้มมา 5 อัลบั้ม แฟนๆ ก็อยากเห็นเราเล่นละครบ้าง เพราะเขาเคยเห็นเราเล่นภาพยนตร์มาแล้ว ละครกับหนังก็ต่างกันอยู่แล้ว อย่างหนึ่งคือแม่อยากเห็นเล่นละคร เราจึงคิดว่าเมื่อโอกาสมาถึงแล้ว ก็ลองดู ตอนแรกที่พี่เขาบอกมาคือ ตัวละครทัดดาว บุษยา หินเหมือนกัน ยากเหมือนกัน ก็มีการเวิร์กช็อปหนักพอสมควร แรกๆ มีกดดัน เกร็งๆ บ้างพอสมควร แต่พอได้ทำงานไปสักพักก็เริ่มเข้าที่เข้าทางขึ้น ถามว่าได้ลองเล่นจริงๆ แล้วติดใจไหม บททัดดาว บุษยา ก็ไม่ได้ห่างพั้นช์มากเกินไป ก็ยังพอที่จะกล้ารับ กล้าเล่น ถ้ามันห่างเยอะกว่านี้ มันจะดูยากเกินไปสำหรับเราในการเล่นเรื่องแรก
ลุคของทัดดาว ตรงกับบุคลิกพั้นช์พอสมควร มีคนทักไหมว่าพั้นช์เหมือนทอม
มีคนถามเยอะ ตั้งแต่ออกอัลบั้มชุดแรก พั้นช์ก็จะบอกว่าไม่ได้เป็นนะคะ แม้กระทั่งพี่ปอก็ยังไม่เชื่อ ด้วยลุคของทัดดาว ห้าวๆ พี่ปอก็จะแซวตลอดว่าพั้นช์เป็นทอมหรือเปล่า ก็พยายามบอกว่าเราไม่ได้เป็น รักสวยรักงามอยู่ค่ะ (หัวเราะ)
"ทัดดาวฯ" เวอร์ชั่นเก่าดังพอสมควร จนมาถึงเวอร์ชั่นที่เราแสดง มีกระแสตอบรับอย่างไรบ้าง
เท่าที่พั้นช์รับรู้มา ก็มีทั้งติทั้งชม แต่ทางผู้ใหญ่ เขาก็พอใจกับกระแสที่เกิดขึ้น เวอร์ชั่นเก่าพั้นช์ไม่มีโอกาสได้ดูเต็มๆ รู้แค่ว่าเป็นละครที่ดัง รู้ว่ามีคำติดปากว่า "เจ้าฮะ" กับ "กาแฟ" ที่จำได้ ซึ่งจากละครเรื่องนี้ พั้นช์มีกลุ่มแฟนเพิ่มมากขึ้น คือกลุ่มคุณป้า คุณน้า จำพั้นช์ได้ เขามาทัก ว่าน้องที่เล่นละครใช่ไหม เขาก็จะเรียกทัดดาว ไอ้ทัด อะไรอย่างนี้
ชีวิตในอนาคต
งานในวงการบันเทิงทั้งนักร้อง นักแสดงก็ทำมาหมดแล้ว อยากทำอะไรอีก
ที่พั้นช์เข้ามาในวงการนี้ พั้นช์คิดแค่จะร้องเพลงอย่างเดียวด้วยซ้ำ แต่พอได้มาลองเล่นหนังด้วย ละครด้วย ก็เหมือนเป็นโอกาสที่ดี รู้สึกว่าโอเคแล้วล่ะ ถ้าจะให้เป็นพิธีกร คงยาก เพราะพั้นช์เป็นคนพูดเร็ว ได้เข้ามาในวงการ ทั้งร้องเพลง เล่นหนัง ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
วางตัวเองกับงานในวงการบันเทิงไว้อย่างไร
หลักๆ ของพั้นช์คงเป็นร้องเพลงแน่นอน และถ้ามีบทละครที่เห็นแล้วโอเค ไม่น่าจะเกินความสามารถเราก็คงได้ พั้นช์ตั้งใจว่าคงจะร้องเพลงอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก่อน พอถึงจุดจุดหนึ่งที่เราอยากทำงานของตัวเองแล้วคงจะผันตัวออกไปเอง ส่วนผลงานละครก็มีติดต่อมา แต่ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกัน คงต้องสักพัก
ตั้งใจไว้ว่าจะทำงานอะไรต่อไป
ถ้าทุกอย่างลงตัว พั้นช์คงจะทำงานอย่างอื่นและทำงานในวงการไปด้วย หลักๆ ที่พั้นช์อยากทำ คือพั้นช์เป็นคนญาติเยอะ ทุกคนจะไม่ได้มีอาชีพที่แบบมั่นคง พั้นช์อยากจะหาอะไรสักอย่างให้พวกเขาได้ทำ ยังคิดอยู่ว่าจะทำอะไรกันดี เขาถนัดอะไรกันบ้าง ก็ช่วยๆ กันไป ถ้าเราทำได้ เราก็ช่วย
ถือได้ว่าเราเป็นเสาหลักของครอบครัว
หลักๆ ที่พั้นช์ดูแลคือพ่อแม่ ยาย แล้วยายเขาจะดูแลอาอีกที ทุกอย่างคือเป็นต่อทอดกันไปเรื่อยๆ ถามว่าหนักไหม ก็ไม่หนัก เพราะเราไม่ได้รู้สึกว่าเราให้เขาแล้วเราลำบาก สิ่งที่เราให้ไปก็เหมือนเป็นความสบายใจของเราด้วย และก็ทำให้เขามีกินมีใช้ มันก็โอเค เราก็รู้สึกดี
จากจุดที่เราเคยอยู่ เคยคิดไว้ก่อนไหม ว่าจะมาถึงจุดนี้
ณ ตอนนั้น ไม่คิดว่าเราจะมีบ้านให้แม่ มีเงิน ให้แม่มากขนาดนี้ ไม่ได้คิดจะก้าวมาในวงการนักร้องด้วยซ้ำ คิดว่าเรียนจบก็คงไปร้องเพลงตามร้านอาหาร ก็คงวิ่งรอกจากร้านนี้ สองทุ่ม แล้วไปต่ออีกร้านถึงเที่ยงคืนอะไรอย่างนี้ คือพั้นช์จะไม่ชอบอาชีพที่ตื่นเช้า เลิกเย็นเป๊ะๆ เพราะเราคุ้นกับการทำงานอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก คิดว่าโอกาสจะเข้ามาในแกรมมี่มันคงยาก เราคงร้องเพลงตามประสาของเราไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีพี่แกรมมี่ไปเห็น คงอยู่ร้านอาหารใดอาหารหนึ่ง
ชื่อเสียงที่เข้ามา เคยรู้สึกหลงระเริงไปบ้างไหม
เมื่อมองย้อนกลับไป มันเป็นประสบการณ์ที่มีค่า ทำให้พั้นช์มีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น มันเหมือนเป็นความโชคดีของเราที่มีโอกาสได้ทำงานด้านนี้ แต่ว่าเราก็ไม่ได้ลืมตัว ไม่ได้ฟุ่มเฟือย ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง แค่เรามีคนรู้จักเพิ่มมาก การดำเนินชีวิตของพั้นช์เหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแต่เราต้องระวังตัวเองบ้าง เพราะด้วยความที่เรามีแฟนคลับเป็นเด็กๆ เยอะ น้องบางคนจะมองเราเป็นตัวอย่าง เขาเชื่อมั่นในความเป็นเรา เราก็พยายามดูแลตัวเอง ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อะไรคือสิ่งยึดเหนี่ยวของพั้นช์ ที่ทำให้ไม่หลงใหลไปกับชื่อเสียง เงินทอง
อาจจะเป็นเพราะเรารู้จักค่าของเงินมาตั้งแต่เด็ก อย่างพั้นช์ร้องเพลงกับปู่ได้เงินมาประมาณวันละ 300 ต่องาน พั้นช์จะเอาจากตรงนั้นเก็บไปโรงเรียนบ้าง ให้แม่บ้าง พอได้ทำงานตรงนี้ รายได้ก็มากขึ้น แต่เราก็รู้สึกว่าเมื่อก่อนกว่าจะได้เงินมาไม่ใช่ง่ายๆ ต้องร้องเพลงตั้งแต่ 6 โมงเย็น เสร็จที 4-5 ทุ่ม ถึงอย่างนั้นพั้นช์ก็ยังรู้สึกว่าเราโชคดีกว่าเพื่อนของพั้นช์คนอื่นๆ ที่ต้องทำงานพาร์ทไทม์ เข้างาน 7 โมง เลิก 5 โมงเย็น พั้นช์ว่าพั้นช์สบายกว่าเขาอีกนะ เขาได้เป็นเงินเดือน แต่พั้นช์ได้เงินวันละ 300 มันอยู่ที่ว่าเราดูแลตัวเองยังไง มีวิธีใช้จ่ายยังไง พั้นช์ไม่ใช่คนที่ยึดติดกับของแบรนด์เนม เลยรู้สึกว่าถ้าเราประหยัดมันก็น่าจะอยู่ได้ ถึงพั้นช์จะไม่ได้เป็นนักร้อง พั้นช์ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ เพราะพั้นช์ก็ดำเนินชีวิตของพั้นช์ไปได้ปกติสบายๆ เราก็มีเงินมีใช้ มีกินมีจ่ายของเราได้
คิดว่าอะไรที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้
เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล ความอดทนของเรา ความรับผิดชอบ องค์ประกอบรวมๆ ก็น่าจะเป็นครอบครัวที่สนับสนุน จนถึงพี่ๆ ที่พาเข้าประกวด พี่ต้นที่พาเข้าแกรมมี่ ระยะเวลากว่าที่พั้นช์จะได้ออกอัลบั้มคือ 4 ปี เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่ความอดทนของเราด้วย ซึ่งพั้นช์จะนึกถึงแม่เป็นหลัก ทำอะไรก็อยากให้แม่สบาย เราคิดว่าเราทำได้ คิดว่าเรามีความพยายาม เราเชื่อว่า เราทำได้แน่นอน
สิ่งที่ภูมิใจที่สุดเท่าที่ทำให้ครอบครัว
สิ่งที่ภูมิใจที่สุด คือพั้นช์เรียนจบปริญญาตรี ที่บ้าน ญาติพั้นช์ไม่มีใครเรียนจบปริญญาตรีสักคน พั้นช์เป็นคนแรก คือแม่เรียนจบปวช. แล้วเขาไม่มีโอกาสได้เรียนปริญญาตรี เขาจะพูดกับเราตลอดว่า ถ้าเราเรียนจบ ก็เหมือนส่งเราถึงฝั่ง ถึงเราจะเรียนไม่ได้เกรดดีอะไรมากมาย แค่ได้ปริญญาให้เขา เราก็ภูมิใจ
มองว่าเราประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง
ตอนนี้ การดำเนินชีวิต พั้นช์ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว แต่ในเรื่องการทำงานก็จะมีขั้นตอนของมัน ต่อไปเรื่อยๆ แต่ ณ ตอนนี้ พั้นช์โอเคกับมันมากที่สุดแล้ว
เรื่องของหัวใจ
ต้องดูแลที่บ้านขนาดนี้ มีใครดูแลหัวใจหรือยัง
จริงๆ เรื่องความรักก็มีเข้ามาบ้าง แต่พั้นช์ก็ไม่ได้ไปมุ่งเน้นมาก คือแค่เป็นกำลังใจให้กัน คิดแค่ว่า มีดีก็ดีไป มีไม่ดีก็อย่ามีดีกว่า ถามว่าตอนนี้มีไหม ตอนนี้มีแล้ว เขาก็คอยให้กำลังใจ แล้วก็ไม่ได้ให้ความสำคัญแค่เราคนเดียว แต่ให้ความสำคัญคนรอบตัวเราด้วย ไม่จู้จี้ เข้าใจการทำงานของเราก็โอเคแล้ว เขาเป็นคนนอกวงการ
อยากฝากอะไรถึงคนที่ยึดเราเป็นแบบอย่าง
ขอขอบคุณที่เขายึดเราและเชื่อมั่นว่าเราจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้เขาได้ ถ้าเขามีความฝันอยากเป็นนักร้อง ถ้าชอบทางไหน ก็ใส่ใจฝึกฝนไปทางนั้นเลย ต้องเดินหาโอกาส พั้นช์คิดว่าถ้าเราไม่เดินไปหา มันจะมาหาเราก็ค่อนข้างยาก พั้นช์อยู่ในชุมชนเล็กๆ พั้นช์ไม่ใช่ลูกหลานคนมีเงิน ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ยังมาถึงจุดนี้ได้ อยากให้คนที่มีความฝันอย่าดูถูกตัวเอง เราต้องลองทำดู ตอนนี้มีเวทีประกวดมากมาย อยากให้ลองหาประสบการณ์ ไม่จำเป็นว่าต้องได้ แค่เราได้ลองทำแล้ว ได้ประสบการณ์ สักวันโอกาสจะเข้ามาหาเราเอง
และนี่คือทั้งหมดที่หล่อหลอมให้เธอเป็นเธออย่างทุกวันนี้ "พั้นช์" วรกาญจน์ โรจนวัชร