
รู้ทันกฎหมาย - ผัวยืมเมียใช้
หลายบ้านคงมีประสบการณ์แบบนี้ เพราะสามีมักมีเครดิตมากกว่าภรรยา จึงออกหน้าไปหยิบยืมเงินจากใครเขาได้ง่ายกว่า ไม่ว่าจะยืมไปทำอะไร และไม่ว่าจะต้องใช้หลักประกันประกบมาด้วยหรือไม่ก็ตาม
เมื่อสามียืมมา ก็ได้ชื่อว่าเป็น “ลูกหนี้” เต็มตัว ส่วนภรรยาถ้าไม่ได้ไปเซ็นสัญญากู้เอาไว้ ก็ไม่ใช่ลูกหนี้ แต่สามีก็อาจไม่ขัดข้องหรือจำต้องยอมให้ภรรยานำเงินไปใช้ได้
การใช้ของภรรยามีสองอย่าง คือ ใช้จ่ายจากเงินที่สามีไปยืมมา กับใช้หนี้ที่สามียืมมา ทั้งสองแบบมาจากเหตุที่แตกต่างกันและส่งผลแตกต่างกันด้วย
การนำเงินไปใช้ เป็นเรื่องระหว่างสามีภรรยาที่จะตกลงกันว่าจะทำอย่างไร เจ้าหนี้เขาไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดขนาดนั้น เว้นเสียแต่เป็นการกู้ยืมที่ระบุวัตถุประสงค์ชัดเจนและลูกหนี้นำไปใช้ผิดประเภทก็อาจเป็นเหตุให้มีการบังคับตามข้อตกลงเงื่อนไขในสัญญาตามที่ว่าไว้ระหว่างกัน
เมื่อถึงวันที่ต้องชำระคืนเมื่อไหร่ คนที่เป็นลูกหนี้ก็จะต้องปฏิบัติให้เสร็จสิ้นไป ลูกผู้ชายคำไหนก็ต้องคำนั้น แต่ท่านเชื่อไหม ลูกหนี้น้อยรายที่จะเคร่งครัดมีวินัยได้ขนาดนั้น แต่การขอผ่อนผันบางทีก็ลากยาวเป็นปีจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นการขอผ่อนเวลา น่าจะเป็นการซื้อเวลาที่ไม่ให้เจ้าหนี้เอาเรื่องก็ได้
ในเมื่อสามีไม่จ่าย เจ้าหนี้ก็ต้องหันไปทวงจากภรรยา เพราะว่าอยู่ด้วยกัน ย่อมมีทรัพย์สินที่เรียกว่า “สินสมรส” ดังนั้น ไม่ว่าภรรยาจะได้มีโอกาสใช้เงินที่ยืมมาหรือไม่ ก็ยากที่จะปฏิเสธไม่จ่ายหนี้คืนให้เจ้าหนี้ได้ นั่นเป็นหลักทั่วไปที่ควรทำความเข้าใจเสียก่อน
การยืมเงินนั้น กฎหมายไม่ได้บังคับให้ต้องขอความยินยอมจากคู่สมรสเสียก่อน ไม่เหมือนการให้คนอื่นยืมเงิน จะต้องให้คู่สมรสของเรารับรู้และตกลงด้วย ดังนั้น จึงมีโอกาสสูงที่สามีไปยืมเงินใครเขาโดยภรรยาอย่างเราไม่ยักกะรู้เลย
เป็นธรรมดาที่ภรรยาจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องของสามี เรื่องหนี้สินก็เป็นหนึ่งในนั้น การที่ภรรยาไม่รู้จะทำให้ภรรยาไม่รู้ไม่ชี้กับเจ้าหนี้ไม่ได้
หนี้ที่สามีก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรส ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นหนี้สินสมรส ซึ่งได้แก่การยืมเงินไปใช้เพื่อครอบครัว ให้การศึกษาลูก นำไปลงทุนในกิจการงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
ถ้าเป็นหนี้ที่สามีทำไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวแล้วก็ไม่เกี่ยวกับภรรยา หมายความว่าใครยืมใครใช้ แต่ต้องให้แน่ใจว่าภรรยาไม่ได้ไปรับรู้แล้วไม่โต้แย้ง เช่น ไปเซ็นเป็นพยานในสัญญากู้เสียนี่ อย่างนี้ปิดปากภรรยาด้วยลายเซ็นตัวเอง
ภรรยาจึงต้องรับผิดชอบในหนี้ร่วมกับสามี กล่าวคือ หากต้องบังคับชำระหนี้กันแล้ว เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องบังคับเอากับสินสมรสได้ และหากไม่พอจ่าย ก็ยังขยายไปถึงสินส่วนตัวของทั้งสองฝ่ายได้ด้วย
แต่ถ้าเป็นหนี้สินส่วนตัวของสามีล้วนๆ แล้ว สินสมรสก็ยังมีสั่นคลอนอยู่ตรงที่เจ้าหนี้จะเรียกร้องเอากับสินส่วนตัวของสามีก่อน หากไม่พอชำระหนี้ ก็จะเรียกร้องบังคับเอากับสินสมรสส่วนที่เป็นของสามี เพราะเขามีสิทธิอยู่ครึ่งหนึ่ง แบบนี้ก็คือไม่มีผลกระทบสินส่วนตัวของภรรยา
จะเห็นได้ว่า สามีที่ไปงุบงิบหยิบยืมเงินมา หรือในทางกลับกัน ภรรยาก็อาจทำอย่างนั้นได้โดยสามีหารู้ไม่เลย อยู่เฉยๆ ก็มีหนังสือทวงมาให้ขายหน้าเสียเงิน
เจ้าหนี้ทั้งหลายจะไหวตัวกันเป็นส่วนใหญ่ การยืมเงินจึงมักให้คู่สมรสจดแจ้งรับรู้เอาไว้จะได้ไม่ต้องกลายเป็นข้อโต้แย้งถกเถียงหรือรู้กันระหว่างสามีภรรยา
อย่าประมาทหากจะเป็นหนี้ และต้องรอบคอบดูแลกันให้ดีๆ ไม่ใช่รักกันจนเป็นหนี้หัวโต.
"ศรัณยา ไชยสุต"