บันเทิง

คมเคียวคมปากกา-ฮาแบบเซอร์ๆ

คมเคียวคมปากกา-ฮาแบบเซอร์ๆ

08 มี.ค. 2553

คั่นด้วยเรื่องของครูพยงค์ มุกดา ไปสองจันทร์ ตามเงื่อนไขข่าว กลับมาต่อเรื่องเพลงดีๆ ของครูจิ๋ว พิจิตร

 เพลงดีในแบบของ ครูจิ๋ว พิจิตร ไม่ได้มีเฉพาะในแบบบ้าบิ่น ตลกโปกฮาเท่านั้น หากแต่เนื้อหาดีดี๊ดีที่ใครๆ ก็เห็นได้โดยไม่ต้องตีความก็มีมากเพลง เช่นเพลงลาน้องไปเวียดนาม ที่ลงท้ายว่า “รักสดชื่นคือรักชาติ รักเด็ดขาดไม่เกรงขาม หมู่อมิตรคิดคุกคาม” หรือในเพลง แหลมตะลุมพุก ร้องแหล่โดย ขวัญจิต ศรีประจันต์ แสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจในชะตากรรมของเพื่อนร่วมชาติ เรียกว่าเป็นเพลงด้านบวกชัดๆ ไม่มีอะไรให้คลางแคลง

 บางเพลงของ จิ๋ว พิจิตร ขึ้นต้นมาทำท่าจะติดลบ แต่พอฟังไปๆ แล้วก็รู้ว่า เป็นการขึ้นต้นแบบผูกปมให้ผู้ฟังฉงนฉงาย ติดใจฟัง แล้วค่อยคลายปมจนจบลงด้วยดี อย่างเพลง รักพิลึก

 “คนอะไรสวยตลอดปี ถึงมีลูกสี่ เธอนั้นก็ยังสวย เธอสวมเสื้อคอย้วย แต่งทรงผม เฝ้าแอบชมเมียเขาเพลินเดินเหม่อ เรานั้นเหมือนคนเซ่อ เจอแต่ที่ขี้เหร่...”

 ขึ้นต้นเพลงมาอย่างนี้ ใครได้ฟังย่อมสะดุดหูทันทีว่า ไอ้หนุ่มรักพิลึกไปเที่ยวแอบชมเมียชาวบ้าน แล้วชะตากรรมมันจะเป็นอย่างไรต่อไป นี่คือสูตรแห่งความสำเร็จในการเล่าเรื่อง เริ่มต้นให้น่าสนใจ แล้วหาวิธีคลายปมต่อไป โดยรำพันความอาภัพรักของไอ้หนุ่มว่า พอไปจีบคนสวยคนดีก็พลาดหวัง โดนต้มจนแทบหมดตัวบ้าง หรือจะสมหวังก็มีแต่สาวแก่คราวแม่ เป็นรักในแบบ “ได้ไม่ดี แล้วที่ดีไม่ได้” สำนวนครูจิ๋วคมคายแบบนี้ แล้วเพลงก็จบแบบตลบหลังว่า สุดท้ายไอ้หนุ่มก็เลยตัดใจจากรักพิลึกทั้งปวงแบบ

 “อยู่มันไปทนช้ำใจทนเศร้า ลืมขอลืมเรื่องเก่า ใครไม่รักเราแน่ โอ้ผู้หญิงที่รักจริงคือแม่ แน่นอนเที่ยงแท้ รักของแม่ชื่นใจ”  เรียกว่าจากรักพิลึก พลิกตลบกลายเป็นเพลงลูกกตัญญูไปฉิบ นี่คือการเขียนเพลงแบบมีชั้นเชิงแพรวพราว

 เพลงดังที่สุดจากปลายปากกา จิ๋ว พิจิตร คือเพลงแบ่งสมบัติ เป็นอารมณ์ขันแบบช่างเจรจายอกย้อน ขันบริสุทธิ์ไม่มีมลพิษ ผัวเมียทะเลาะกันท้าแบ่งสมบัติ ผัวก็บอกยกเสาเรือนให้ทุกต้น แต่อย่าให้กระดานหล่น หรือยกที่นาให้แต่ต้องเอาต้นข้าวตั้งไว้ ยกตุ่มน้ำให้ แต่ต้องเอาน้ำตั้งไว้ ยกโครงไม้หลังคาให้ แต่อย่าทำหลังคาหล่น ใจจริงของฝ่ายผัวก็คือไม่ยอมเลิกกับเมียเพราะยังรักเมียนั่นเอง ฟังแล้วตลก คมขำ น่ารัก

 ถึงอย่างไรจุดเด่นที่สุดในผลงานเพลงของ จิ๋ว พิจิตร ก็คืออารมณ์ขันที่ออกไปทางเหนือจริง แบบที่ในทางจิตรกรรมเขาเรียกกันว่า เซอร์เรียลลิสม์ อย่างเพลง มันมากับความแค้น, กับข้าวเพชฌฆาต

 มันมากับความแค้น เป็นอารมณ์ตลกโปกฮาทีเล่นทีจริง เอะอะโวยวายไปตามประสาอารมณ์โกรธ ไม่ได้หมายความว่าจะทำอย่างนั้นจริง เพราะถึงจะทำจริงก็ทำไม่ได้หรอก เช่น

 “ว่าแล้วยังมาทำตาแป๋ว ชักโมโหแล้ว เดี๋ยวยกห้องแถวฟาดปาก เดี๋ยวเถอะโดนกระโถนน้ำหมาก เอาปล่องโรงสีตีหน้าผาก ให้ดิ้นชักเสียเป็นยังไง”  แล้วยังเอะอะโกรธาต่อไปแบบ จะฟาดกกหูด้วยตู้รถไฟบ้าง ขว้างด้วยรถเบนซ์บ้าง ยิงด้วยปืน ป.ต.อ.บ้าง แล้วแต่จะลงกลอนอะไร โดยอยู่ในจินตนาการแบบเหนือจริง

 เช่นเดียวกับเพลงกับข้าวเพชฌฆาต มาในลีลาเพลงฉ่อย พรรณนาเมนูพิลึกพิลั่นแบบ ผัดเผ็ดแมวดำต้มยำช้าง แกงจืดเนื้อค่างกับกอไผ่ แล้วยังมีลูกปืนแกงส้ม ฆ้อนผัดพะแนง ชะแลงเปรี้ยวหวาน กระบองทอดมัน หัวขวานชุบไข่ มัสหมั่นมีดพก ห่อหมกปืนใหญ่ ของหวานก็มีอีโต้แช่เย็น มะพร้าวนั้นก็ใส่ลงไปทั้งเปลือก กินแล้วตาเหลือกพากันหลงใหล...

 เป็นอารมณ์ขันเหนือจริงให้รู้ว่าเป็นเพลงร้องเล่นกันสนุกๆ อย่าเคร่งเครียดเอาเป็นเอาตาย ยิ่งถ้าเปิดเพลงนี้เวลามีงานบุญ ช่วงวันสุกดิบที่แม่ครัวกำลังเตรียมทำอาหารเลี้ยงแขก เนื้อเพลงก็จะกลายเป็นคำพูดล้อเล่นกันแถวโรงครัวได้เฮฮาหายเหนื่อย

 จับประเด็นเพลงดีของครูจิ๋ว พิจิตร เนื่องด้วยปมข้องใจเรื่องการคัดเลือกศิลปินแห่งชาติสาขาเพลงลูกทุ่ง...ปมที่ต้องสะสางกันต่อไป

วัฒน์ วรรลยางกูร