
"คริส ร็อก" คือใคร หลังถูกพระเอก "วิล สมิธ" ตบหน้ากลางเวทีออสการ์
“คริส ร็อก” เป็นนักแสดงตลกชื่อดังที่ถูกพระเอก “วิล สมิธ” ตบหน้ากลางเวทีออสการ์ หลังเล่นมุกเกี่ยวกับทรงผมของภรรยาของวิล ซึ่ง คริส เป็นพิธีกรของงานปีนี้
วันที่ 28 มีนาคม 2565 กรณี “วิล สมิธ” เดินขึ้นไปตบหน้า “คริส ร็อก” บนเวทีประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 94 เนื่องจากไม่พอใจที่ร็อกเล่นมุกล้อเลียนทรงผมของภรรยา ซึ่งต้องโกนผมเนื่องจากป่วยด้วยโรคผมร่วงเป็นหย่อม(Alopecia) กลายเป็นข่าวช็อกวงการบันเทิงระดับโลก เมื่อช่วงสายตามเวลาประเทศไทย
โดย “คริส ร็อก” ถูกวิจารณ์อย่างหนักในเรื่องนี้ แต่ตัว “คริส ร็อก” ก็ไม่ใช่นักแสดงไก่กา กว่าจะมาถึงวันนี้ เขาก็ฝ่าฟันอะไรมาเยอะมาก เป็นทั้งนักแสดงตลก นักแสดง ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ นักร้อง และนักเขียนชาวอเมริกัน
คริส เริ่มต้นอาชีพการแสดงตลกขณะมีอายุ 19 ปี โดยแสดงในไนท์คลับเล็ก ๆ หลายแห่งในนิวยอร์ก จนคริสได้รับความสนใจจากนักแสดงตลกระดับตำนานอย่าง “เอ็ดดี้ เมอร์ฟี” ขณะที่เขากำลังแสดงเดี่ยวไมโครโฟนในสถานบันเทิงยามค่ำคืน โดยเมอร์ฟีได้เสนอให้คริสรับทในภาพยนตร์เรื่อง Beverly Hills Cop II
คริสเริ่มมีชื่อเสียง เมื่อได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในนักแสดงซีรีส์ตลก Saturday Nigh Live เส้นทางอาชีพของเขาเริ่มขยับขยาย เมื่อเขาเริ่มเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง CB4 ก่อนจะมีซีรีส์พิเศษใน HBO ที่ชื่อว่า Big Ass Jokes
ความนิยมและความโด่งดังของเขาในฐานะนักแสดงเดี่ยวไมโครโฟนมาถึงจุดสูงสุด จากการแสดงในภาพยนตร์ตลกที่ประสบความสำเร็จหลายเรื่องของ HBO แต่ไม่นานหลังจากนั้น ชื่อเสียงของเขาก็ค่อย ๆ จางหายไป เขาจึงกลับไปแสดงในไนท์คลับเล็ก ๆ อีกครั้ง ก่อนจะกลับมาได้รับบทบาทสำคัญในรายการทีวีและภาพยนตร์
คริส ร็อก เกิดวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2508 ในแอนดรูว์ทาวน์ รัฐเซาท์แคโรไลนา จากนั้นครอบครัวของเขาได้ย้ายไปอยู่ย่านชนชั้นแรงงานในเขตบรูคลิน่ของนิวยอร์กซิตี้ พ่อของเขา “คริสโตเฟอร์ จูเลียส ร็อคที่ 2” ทำงานเป็นคนส่งหนังสือพิมพ์และคนขับรถบรรทุก ขณะที่แม่ของเขา “โรส ร็อค” ถูกเป็นครูในโรงเรียนสอนคนปัญญาอ่อน
คริส ร็อก เป็นลูกคนโต เขามีน้องชาย 3 คน คือ จอร์แดน, เคนนี และโทนี โดยน้องชายทั้ง 3 คนของเขา เลือกที่จะเดินตามเขาในวงการบันเทิง คริสยอมรับว่า “อัลเลน ร็อก” ปู่ของเขาซึ่งเป็นนักเทศน์ มีอิทธิพลอย่างมากต่อการแสดงของเขา ปู่ของเขาย้ายจากเซาท์แคโรไลนามายังนิวยอร์กซิตี้ในยุค’40 โดยทำงานเป็นนักเทศน์และคนขับแท็กซี่
เนื่องจากย่านที่อยู่ของเขาถูกครอบงำโดยคนผิวขาว เขาจึงต้องทนทุกข์กับการถูกเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ เขาจำได้ว่าต้องนั่งรถโดยสารแยกกับเด็กนักเรียนผิวขาว ขณะเดินทางไปโรงเรียน เขายังเคยถูกทุบตีและข่มเหงระหว่างเป็นนักเรียน กระทั่งต้องหยุดเรียนกลางคัน แต่ก็ยังได้รับประกาศนียบัตรจบการศึกษา ประสบการณ์อันขมขื่นเกี่ยวกับการถูกเหยียดเชื้อชาติในช่วงวัยเรียนจึงมีอิทธิพลอย่างมากต่ออาชีพการงานของเขาในฐานะนักแสดงตลก