บันเทิง

The Hurt Locker
ถึงไม่ชอบสงคราม ก็ควรดูหนังเรื่องนี้

The Hurt Locker ถึงไม่ชอบสงคราม ก็ควรดูหนังเรื่องนี้

05 มี.ค. 2553

อาจจะต้องเลือกเรื่องใดเรื่องหนึ่งระหว่าง Apocalypse Now (1979) กับ Platoon (1986) รวมไปถึง The Longest Days ถ้าผมต้องบอกว่าชอบหนังสงครามเรื่องไหนในอดีต

  แต่โดย “รสนิยม” นั้น พวก war films ไม่ใช่แนวทางที่ผมสนใจ อย่างไรก็ดี หนังสงครามหลายเรื่องก็ไม่ได้หมายความว่า ต้องยิงกันแหลกลาญ และมีเลือด คนตายกับภาพโหดเหี้ยม เพราะหนังสงครามบางเรื่องมีดีมากกว่านั้นมาก

 เช่น The Hurt Locker เรื่องนี้
 The Hurt Locker ดูมีน้ำมีนวล มีราศีและโหงวเฮ้งขึ้นมามาก จากการเข้าชิงออสการ์มากเท่ากับ Avatar และไปแสดงศักยภาพทุกเวทีที่ Avatar ไป เท่านั้นยังไม่พอ ผู้กำกับ แคทธริน บิเกโลว์ ยังเป็นอดีตเมียของ เจมส์ คาเมรอน คนทำ Avatar อีก

 The Hurt Locker ยังเสียงดังต่อไม่เลิก เมื่อระหว่างที่ผมเขียนต้นฉบับนี้ในเช้าตรู่วันพุธ ก็มีข่าวออกมาทาง yahoo ว่า โปรดิวเซอร์ นิโคลาส ถูกแบนจากออสการ์ โทษฐานที่ส่งอีเมลไม่เหมาะสมบางอย่างไปให้คณะกรรมการ

 ผมคิดว่าหนังของ “อดีตเมีย” นั้น จะสามารถล้มภาพยนตร์เต็ง 1 ของ “ผัวเก่า” บนเวทีออสการ์ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะผมรวมทั้งหลายคนกลับชอบ The Hurt Locker มากกว่า Avatar

 ทำไมถึงชอบ ?
 แม้เนื้อหาและฉากหลังของหนังจะเป็นที่รู้กันดีอยู่ว่า นี่คือเหตุการณ์เมื่อปี 2003 ที่รัฐบาลอเมริกันหาความชอบธรรมมั่วๆ ด้วยการเข้าไปในอิรักเพื่อควบคุมและทำลายล้างอาวุธสงคราม (ก่อนจะไม่พบ) และเซตแค่สถานการณ์ว่า ตัวละครทั้งหลายต้องมีหน้าที่ปลดระเบิดที่แอบวางตามที่ต่างๆ

 แต่แม้ว่าเรื่องจะมีแค่นี้โดยหลักๆ แต่มีรายละเอียดมากมายทำให้เราเห็นถึงอะไรๆ ที่มากกว่าหนังสงคราม และ โดยมิติที่ลึกลงไปอีกนั้น นี่ยังไม่ใช่หนังสงคราม

 ไม่ใช่เรื่องสงคราม แต่เป็นเรื่องของคนคนเดียว
 คนคนนั้นคือ เจมส์ นายทหารที่มีหน้าที่ปลดระเบิด เขามาแทนที่คนก่อนที่ตายไป แต่การทำงานที่ต้องอาศัยอารมณ์และความรอบคอบอย่างที่สุดนั้น เจมส์ กลับอยู่ตรงกันข้ามหมด บ้าบิ่นและชอบแลกในบางสถานการณ์ที่ควรจะไม่สู้ต่อ และถอยห่างออกมา (เช่นระเบิดที่อยู่ในรถ) เขาก็บ้าบิ่นจะทำได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะยกย่องหรือชื่นชม ไม่ว่าเขาจะทำสำเร็จอีกกี่ที เนื่องเพราะถ้าไม่สำเร็จ และระเบิดตูมตามขึ้น มันหมายถึงเพื่อนๆ ในทีมต่างตายหมด

 ทุกอย่างในหนังนั้นไม่ใช่เรื่องจริงนะครับ แต่มันดูเหมือนจริงเพราะการถ่ายทำและการรู้จักใช้มุมกล้องแทนสายตา ที่ดีเหลือเกินก็คือ แม้เราจะรู้อยู่เต็มอกว่า นี่เป็นเรื่องคิดเอง แต่เรากลับตื่นเต้นกับหนังตลอดเวลา จนเกือบจะบอกได้ว่า ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา มีหนังสงครามเรื่องนี้ที่ทำให้สนุกในการดู มากกว่ายิงกันเละเทะ

 แต่เมื่อต้องเลือกฉากที่ตัวเองชอบ ผมกลับชอบประเด็นหลักของหนังที่ว่า เมื่อเวลาในสงครามผ่านเรื่อยๆ เจมส์ กลับรู้สึกสูญเสียตัวตนและหลงทางในตัวเอง ฉากที่เขาไปตามหาเด็กน้อยขาย dvd และไม่พบอะไร แถมโดนล่าหนีหัวซุกหัวซุนกลับค่ายนั้น

 เป็นฉากที่ควรยกย่องและได้รับการจดจำในเชิง “ถูกทำลายคุณค่าชีวิต” อยู่ในสภาพ lost แบบที่ตัวละครใน Apocalypse Now เป็นเมื่อ 31 ปีที่แล้ว

 บางคนอาจจะจดจำฉากไฮไลท์สุดท้าย ที่ตื่นเต้นเต็มที่ แต่ฉากที่ดีกว่านั้น ยังมีอีกฉากนั่นคือ ตอนที่พวกของ เจมส์ ไปโดนซุ่มยิงตายในทะเลทราย และไม่มีน้ำให้กิน ขณะที่พวกเขาไปไหนไม่ได้ และต้องนอนราบอยู่อย่างนั้น

มันแสดงถึงภาวะหดหู่และรันทด อย่างบอกไม่ถูก
 ข้อเด่นของ The Hurt Locker นั้น มีหลายส่วน แต่ไม่ได้หมายความว่า จุดด้อยไม่มีเลย ผมไม่ชอบตอนจบ ซึ่งก็ออกแนวอเมริกันเหลือเกิน (ต้องไปดูเอาเองนะครับ)

 ถึงเวลานี้ วันนี้ เสียงระเบิดเอย เสียงปืน เสียงอาวุธสงครามที่ดังในหนังนั้น มันทำให้ตัวหนังดังขึ้นมา และมีราคาที่สูสีมากขึ้นกับ Avatar ในคืนวันอาทิตย์หรือเช้าวันจันทร์บ้านเรา

 ออสการ์อาจจะเล่นมุกให้มีหนังถึง 10 เรื่องเข้าชิง
 ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า หนังที่ชิงกันเองจริงๆ คือหนังของ (อดีต) ผัวและเมีย
 Avatar กับ The Hurt Locker เป็นหนังที่ดีทั้งสองเรื่องครับ
 แต่รสนิยมของผม ผมเชียร์หนังของเมีย
 โดยที่รู้อยู่ว่าหนังของผัวจะเข้าวิน !!!
 พนันกันไหมล่ะ ถ้าผมแพ้ ให้ดีดติ่งหู คุณกนก รัตน์ฯ ไม่อั้น !

"นันทขว้าง สิรสุนทร"
[email protected]