อดีตพระเอกดัง "สถาพร นาควิไลโรจน์" เล่าวิกฤตครั้งใหญ่ถึงขั้น ขายบ้าน ขายรถ
ออกมาเปิดใจ เล่าเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาแบบหมดเปลือกแล้ว สำหรับ อดีตพระเอกรุ่นใหญ่ "สถาพร นาควิไลโรจน์" เกี่ยวกับเส้นทางความรักร่วม 30 ปี ของภรรยาสาวสวยดีกรีนางงาม ที่จุดเริ่มต้นหนีตามกันมา พร้อมเล่าวิกฤตชีวิตครั้งใหญ่ถึงขั้น ต้องขายบ้าน ขายรถ
โดยล่าสุด "สถาพร นาควิไลโรจน์" ก็ได้ออกมาเผยเรื่องราวทั้งหมดเป็นครั้งแรก ผ่านทางรายการ "คุยแซ่บ Show" ที่มี "พีเค ปิยะวัฒน์" , "หนิง ปณิตา" และ "อาจารย์เป็นหนึ่ง" ทำหน้าที่เป็นพิธีกร
(คำถาม) : เรื่องความรัก พี่ถาแต่งงานคบกับคุณนกมา 30 ปี แล้ว ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : เกิน 31 ปีแล้ว
(คำถาม) : สมัยก่อนความรักเปิดเผยไม่ค่อยได้ ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : ช่วงนั้นก็เปิดเผยพอได้ มันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เราก็ไม่ค่อยชอบเก็บอะไรอยู่แล้ว เพราะความรักเป็นเรื่องสวยงาม
(คำถาม) : แต่จะมีผลต่อความนิยมมั้ย ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : อย่างที่บอกว่าช่วงนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นช่วงที่เราผ่านช่วงพีคมาซักระยะนึงแล้ว แล้วตัวตนของเราไม่ใช่จะมาเหนียม
(คำถาม) : เห็นว่าไปเจอกับคุณนกในที่อโคจร ที่ผับหรอ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : ก็สถานที่กินข้าว ร้านอาหารกึ่งผับ บังเอิญเขาเป็นเพื่อนของเพื่อน แล้วก็แนะนำกันก็รู้สึกถูกตาต้องใจ
(คำถาม) : แล้วเขารู้สึกถูกใจมั้ย ให้เบอร์เลยมั้ย ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : เขาก็ถูกใจสิ เราแอบมีเบอร์เขาอยู่แล้ว จากเพื่อนของเขา แต่ไม่ได้โทรไป เพราะพี่เป็นคนเขินไม่กล้า
(คำถาม) : แล้วพี่จีบเขายังไง ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : ใช้มองตาแล้วก็สื่อกัน พี่รวบรวมความกล้าอยู่ 2 วันถึงจะโทรหาเขา เพราะเราเป็นคนไม่ค่อยกล้าแสดงออก
ร่วมโหวต Popular Vote (มหาชน) "คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 18" คลิ๊กที่นี่
(คำถาม) : เกี่ยวมั้ยที่ตอนนั้นพี่เป็นพระเอกดังมากแล้วต้องไปจีบสาวนอกวงการบันเทิงมันเลยทำให้เขาอาจจะคิดว่าเราเจ้าชู้ ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : มันก็สองแง่ สามง่ามนะ เพราะเบื้องต้นเราก็เป็นคนขี้อายอยู่แล้วกับเรื่องแบบนี้
(คำถาม) : ภรรยาพี่ถามีดีกรีถึงขั้นนางงามเลย ดีกรีสูงขนาดนี้ ใช่สเปคเรามั้ย ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : สเปคมั้ย ก็ต้องบอกว่าสเปค คนเราทุกคนมันมีนางในฝันอยู่แล้ว เราเชื่อว่าทุกคนไม่ได้ครบหรอก 100% อยู่ที่ว่าเราแฮปปี้แค่ไหน
(คำถาม) : คบกันได้ไม่นานหนีตามกันเลย ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : มันเป็นการพูดคุยกันในเมื่อเราจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน มันก็ต้องมีกระบวนการ แต่ทั้งฝ่ายผมและภรรยาไม่ได้ติดที่จะมีพิธีรีตองอะไร เรียกว่าพาหนี แต่พาหนีในความหมายของผมคือบอกกล่าวทั้งฝ่ายเขาและฝ่ายผมก็จะรู้แต่ว่าจะไม่ได้มีพิธี คือ ณ เวลานั้นต่างคนต่างคิดว่ามันมีเยอะที่แต่งแล้วก็ต้องเลิกรากันไป อันนี้เป็นความคิดส่วนตัวนะ ไม่ได้บอกว่าความคิดนี้ คนนั้นคนนี้จะต้องมาคิดแบบนี้ เขาก็จะบอกว่าอย่าเลย เพราะถ้าเราไปไม่ถึงไหนเราก็จะอายเขา เพราะถ้ามีพิธีรีตองขึ้นมาก็จะเป็นข่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้
(คำถาม) : ในแง่สังคมช่วงนั้นมันมีประเด็นมั้ยกับการที่เราไม่ได้จัดอะไรให้เขาเห็นในภาพของสังคมที่ชัดเจน ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : ผมว่าการใช้ชีวิตคู่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับพิธี ผมว่ามันขึ้นอยู่กับคนสองคน แล้ววันนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผมอยู่กันมา 30 ปีเศษ มีลูก 2 คน แล้วชีวิตครอบครัวก็ราบรื่น มันอาจจะมีทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างตามประสา แต่สุดท้ายก็เคลียร์กันได้แล้วก็รักษาทุกอย่างมาได้ 30 กว่าปี
(คำถาม) : แล้วเรื่องความเข้าใจระหว่างคนที่อยู่นอกวงการกับคนที่อยู่ในวงการ เวลาเขาพระเข้านางเลิฟซีน ภรรยามีหึงหวงมั้ย ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : เขาพยายามเลี่ยงที่จะไม่ดู ถ้าดูก็พอมีบ้าง แต่เขาไม่ค่อยดูละครที่ผมเล่น
(คำถาม) : เห็นว่าคบกันได้ปีกว่าๆตัดสินใจมีลูกเลย ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : ตอนนั้นใกล้จะ 30 วันนึงก็ปรึกษากันว่ามีลูกกันมั้ย เขาก็บอกได้ซิ มันไม่มีอะไรยุ่งยากเลยในเมื่อมันมั่นใจกันแล้ว พอบอกว่ามีก็ปล่อย ก็ระยะซัก 2 ปีถึงจะติด คนแรกลูกสาวแล้วก็เว้นมาจน8 ปี มีลูกชายอีกคน เมื่อกี๊ข้ามไปนิดนึง เรื่องพิธีหลังจากนั้นซักระยะนึงเราก็มีไปวัดชนะสงครามไปทำบุญให้เป็นสิริมงคลทำกันในครอบครัว
(คำถาม) : ก่อนหน้าที่จะกระโดดไปเบื้องหลัง ช่วงที่เป็นพระเอกรายรับก็เยอะแล้วเงินหายไปไหนหมด ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : ส่วนนึงส่งที่บ้าน
(คำถาม) : ตอนจีบคุณนกอยู่ด้วย ตอนที่พี่ทำเบื้องหลัง เงินมันพอมั้ยเวลาพาเขาไปเที่ยว ไปออกเดท ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : เราอยู่อย่างเจียมตัวมาก เขาก็มีฐานะอยู่ มันก็ไม่ได้จะเป็นลักษณะที่ใครจะเปย์ฝ่ายเดียว เขาก็เปย์เราก็เปย์ก็แล้วแต่
(คำถาม) : สิ่งที่ทำให้พี่ประสบความสำเร็จในฐานะคนทำงานเบื้องหลัง ตอนนั้นพี่ทำรายการวัยรุ่น 4+1 ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : 4+1 ถึงจะเท่ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ เต๋า สมชาย ใส่กางเกงขาสั้น เดินเข้ามาที่ไฟว์สตาร์ ตอนนั้นยังไม่ได้ออกอัลบั้ม มีพี่เอ็ม สุรศักดิ์ เป็นพี่ใหญ่ มีเต๋า มีปราโมทย์ แสงศร เป็นรายการวัยรุ่นช่วงแรกๆของประเทศ เป็นรายการของบริษัทไฟว์สตาร์ เราเป็นทีมงาน เป็นโปรดิวซ์ ทำสคริปต์ กำกับละครสั้น
(คำถาม) : แต่สำเร็จอยู่ได้พักนึง มาถึงช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : ใช่ ปี 40 ก็สาหัสอยู่พอสมควร เราไม่คิด มันเป็นสถานการณ์ที่ฉุกเฉินมาก ก็ต้องเอาตัวรอด วาดฝันไว้ผ่อนดาวน์บ้านสร้างอนาคตด้วยกัน ลงไปสมัยนั้นเงินล้านนึงก็เยอะนะ จำต้องปล่อยไป ก็บอกเซลล์ว่าช่วยขายหน่อย 50% ก็ได้
(คำถาม) : แสดงว่าเราดาวน์ไว้ เตรียมจะซื้อ แล้วจำเป็นต้องทิ้งไป ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : ใช่ ก็ผ่อนดาวน์ไปเดือนละแสน สิบเดือนก็ล้านนึงแล้ว แต่ไม่มีปัญญาไปโอนด้วยสถานการณ์แบบนั้น เราไม่รู้ชีวิตจะเดินยังไงได้ วันนึงเราก็ต้อง บ้านปล่อยไป ขายไม่ได้ รถปล่อยไป
(คำถาม) : ตอนที่ถึงจุดลำบากสุดของชีวิตพี่วิ่งไปหาใคร ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : พี่เปี๊ยก (พิศาล อัครเศรณี) คืออย่างที่บอกว่าเราเป็นคนไม่มีสังคม เราทำงานเสร็จกลับบ้าน เรามีความรู้สึกว่าเราอาย เราเขิน ที่จะไปของานทำในชั่วโมงที่เราไม่มี แต่พอถึงตาจนก็นึกถึงผู้จัดผู้ชาย ก็โทรหาพี่เปี๊ยก เพราะพี่เปี๊ยกเคยกำกับเราตอนเล่นป่ากามเทพ ก็โทรไปบอกว่าแย่จริงๆ พอจะช่วยอะไรได้บ้าง เขาก็บอกว่ามาเล่นละครพี่ซิ กำลังจะเปิดใหม่เลย ก็เป็นจุดเปลี่ยนอีกอันหลังจากวิกฤตฟองสบู่ เหมือนชีวิตก็พลิกมาด้วยพี่เปี๊ยก ช่วงนั้นก็อยู่กับแกมา 4-6 ปี ก็ทำละคร เล่นด้วย บางอย่างไม่ได้ตังค์ก็เอา เราชอบเรียนรู้ ครูพักลักจำ
(คำถาม) : ตอนพี่เปี๊ยกบอกว่าจะเปิดละครเรื่องใหม่ ตอนนนั้นพี่เข้ามาทำเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : เบื้องหน้า สั่นเลย เพราะทิ้งไป 5 ปี กลับมาเล่นอีกที ด้วยความเป็นพิศาลด้วย ความน่ายำเกรงยังมี ซีนแรกเริ่มพูดคำแรกปากสั่น เรื่องนั้นกลับไปแสดง หลังจากเรื่องนั้นพี่เปี๊ยกก็ชวนไปทำเบื้องหลัง
(คำถาม) : พี่ถาอยากจะบอกอะไรกับคุณอามั้ย ถ้าวันนี้อามองเราอยู่ ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : ไม่ต้องบอกอะไรมาก เพราะว่าพี่เปี๊ยกรู้ว่าพี่รู้สึกยังไง มันต้องเป็นคำนี้ "มีวันนี้เพราะพี่ให้"
(คำถาม) : เฉียดตายกลางกองถ่ายบ่อยครั้งด้วย เกิดอะไรขึ้น ?
"สถาพร นาควิไลโรจน์" : พี่เป็นคนว่ายน้ำไม่เป็น เพราะสมัยเด็กๆ แม่ไม่ให้ลงน้ำเกินตาตุ่ม พอโตขึ้นก็ไม่มีความพยายามหรือเปล่า พอมาละครพี่เปี๊ยกป่ากามเทพ เป็นฉากที่พระเอกต้องพานางเอกพี่ตั๊กป่วยแล้วต้องไปตามหมอข้ามแม่น้ำ ถ่ายที่อยุธยาตอนกลางคืน แล้วเราทำงานเรื่องแรกเราก็กลัวพี่เปี๊ยก เกร็ง ด้วยความที่พี่เปี๊ยกเป็นผู้กำกับที่มีชื่อว่าดุ เราก็ไม่กล้าบอก กลางคืนก็มือมากอยู่ในเรือจับไปปล่อยอยู่กลางแม่น้ำป่าสัก เราก็ฝึกพายเรือเย็นนั้นกลางคืนถ่าย คิดว่าทำไมชีวิตต้องมาแขวนอยู่บนเส้นด้ายขนาดนี้ คือใจไปถึงฝั่งแล้วแต่กายอยู่กลางแม่น้ำ แต่ก็ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุอะไร