บันเทิง

"แบม จณิสตา" เปิดใจ จากพิธีกรตีสิบ สู่ ส.ส. หวิดเสียโฉมโดนขู่สาดน้ำกรด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"แบม จณิสตา" เล่าเส้นทางชีวิต จากพิธีกรดังในรายการตีสิบ สู่ชีวิต ส.ส. สองสมัย ในเส้นทางการเมืองที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มีถูกขู่ แข่งดุเดือด จนถึงวาระโดนยุบพรรค

 

แบม จณิสตา อดีตนางแบบและพิธีกรดัง ที่เคยโลดแล่นในเส้นทางการเมือง ได้ออกมาเปิดชีวิตเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 เผยหมดเปลือกกับเส้นทางเข้าสู่วงการ เผยชีวิตนักการเมืองที่ต้องแลกมาด้วยข่าวคาว หวิดเสียโฉมโดนขู่สาดน้ำกรดใส่หน้า กับสาเหตุที่ยุติการเป็นนักการเมือง ว่าเพราะมาเจอความรักกับสามีนักธุรกิจ โบ๊ท บุตรรัตน์ ที่รักกันมา12 ปีหรือเปล่า ผ่านทางรายการ คุยแซ่บ show ทางช่อง วัน 31 ที่มี ธัญญ่า ธัญญาเรศ และ อาจารย์เป็นหนึ่ง เป็นพิธีกร

 

"แบม จณิสตา" เปิดใจ จากพิธีกรตีสิบ สู่ ส.ส. หวิดเสียโฉมโดนขู่สาดน้ำกรด

 

 

พี่แบมเข้าวงการมาได้ยังไง ?

           

แบม : ก็ไม่คิดนะว่าวันนึงจะมีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในสปอตไลท์ โดยเฉพาะในวงการบันเทิง มาโชว์ถ่ายแบบหรืออะไรแบบนี้ แต่ในที่สุดพอเข้าจุฬาได้ ก็มีโอกาสได้เข้าไปทำงานในโครงการถวายสมเด็จ แล้วก็ท่านผู้หญิงวิยะฎา กฤดากร จากตรงนั้นก็เลยมีภาพเข้าไปอยู่ในหน้าสังคม แล้วก็ไปเจอกับพี่ชาลี ซึ่งเป็น บก.นิตยสารดิฉัน โดยบังเอิญ ซึ่งพี่ชาลีอาจจะเห็นหน้าเห็นตามาบ้างแล้ว พี่ชาลีก็เลยชวนมาถ่ายปกนิตยสารดิฉันกันไหม ตอนนั้นเราก็ดีใจมาก อยู่น่าจะประมาณปี 1 แล้วขาเราก็ไม่ได้สวย แต่พี่ชาลีก็บอกว่าเนี่ยมาถ่ายปกกัน ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นเป็นที่รู้จัก

 

แต่จุดที่เป็นที่รู้จักจริง ๆ คือตอนปี 4 ที่เป็นดรัมเมเยอร์ฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ 50 ปี กับ พี่ตั้ว ศรัณยู พี่แหวน ธิติมา น้องอร อรอนงค์ ตอนนั้นก็เลยมีโอกาสได้มาเจอกับคุณวิทวัจน์ ในรายการ ตีสิบ โดยมาสัมภาษณ์แบบหมู่คณะ แล้วอีก 2 วัน ทีมงานตีสิบก็ติดต่อมาอยากเชิญมาสัมภาษณ์เดี่ยว เพื่อจะรู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหน อาจจะเป็นเพราะ 3 ท่าน คนนึงก็นางสาวไทย อีก 2 ท่าน ก็ดารา ก็เลยมีโอกาสได้เจอคุณวิทวัจน์ หลังจากนั้นก็มีคนติดต่อให้ไปถ่ายนิตยสาร ให้ไปถ่ายผลิตภัณฑ์หลาย ๆ อย่าง

 

แล้วจริง ๆ พี่แบมชอบวงการบันเทิงไหม ?

           

แบม : ทุกวันนี้ยังคิดถึง ก็เป็นอะไรที่สนุก จริง ๆ อยู่ในรายการตีสิบ อาจจะ 3 ปี แต่ว่าเริ่มต้นตั้งแต่เป็นพิธีกรรายการอื่น ๆ รวม ๆ แล้วน่าจะมี 5 ปี ก็สนุกและมีความสุขที่ได้ทำ

 

ตอนนั้นมีคนชวนไปเป็นนักแสดงบ้างไหม ?

           

แบม : มีค่ะ ยังคิดเสียดายอยู่เลยนะ ตอนนั้นน่าจะไปเล่นสักหน่อย มันจะเป็นอะไรที่เป็นประสบการณ์ ซึ่งตอนนั้นถามว่าทำไมไม่ไป จริง ๆ เป็นคนขี้เกียจ คือรู้ว่านักแสดงต้องทุ่มเทมาก เวลาไปออกกอง คิวได้ยินเวลาเขาเล่าว่าต้องรอ เรารู้สึกว่าขี้เกียจไปนั่งรอถ่าย แล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่บทบาทของเรา ก็เลยไม่เอาดีกว่า ไม่น่าจะเป็นเรา

 

"แบม จณิสตา" เปิดใจ จากพิธีกรตีสิบ สู่ ส.ส. หวิดเสียโฉมโดนขู่สาดน้ำกรด

 

 

จากพิธีกร มาเล่นการเมือง มันคนละทางกันเลย ?

           

แบม : พอเรียนจบกลับมา ก่อนที่จะไปเป็นพิธีกรตีสิบ กลับมาเมืองไทยรับราชการก่อน แล้วไม่ได้มีความคิดเลยจะมาทำพิธีกรจริงจัง แต่พอมาทำปั๊บทำให้คนเห็นหน้าเราในความเป็นสาธารณะ และในหมวดที่เราเป็นข้าราชการก็เลยมีโอกาสได้เจอพวกผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นนักการเมืองอยู่บ่อยครั้ง แล้วก็บทสัมภาษณ์ที่ออกมาเรามีความสนใจเพราะเราเรียนรัฐศาสตร์ แล้วก็เรียนโทด้านนี้ ก็เลยเกิดการทาบทามว่ามาลง ส.ส. ไหม เป็นข้าราชการก็ทำงานให้ประเทศได้นะ แต่ถ้าเป็นนักการเมือง เป็น ส.ส. ถ้าได้ร้บเลือกตั้งเป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชนเลย ทำได้หลายเรื่องมาก ก็ตัดสินใจอยู่พอสมควร เพราะตอนนั้นก็เป็นพิธีกรแล้วด้วย รายการตีสิบ เพราะเรารู้ว่าเราต้องออกจากตรงนั้นห้ามเป็นคู่กัน

 

แสดงว่าเป็นความชอบตั้งแต่ทุนเดิมสำหรับการเป็นนักการเมือง ?

           

แบม : ต้องบอกว่าโดยพื้นฐานจริง ๆ ลึก ๆ คุณแม่ก็รัฐศาสตร์ แล้วคุณแม่ให้เราเข้ารัฐศาสตร์ แล้วมาทำงานราชการจริง ๆ คุณแม่เป็นคนชอบการเมือง จริง ๆ คุณแม่อยากให้เราทำงานราชการ หรือไปเป็นนักการเมืองอยู่แล้ว ซึ่งถามว่าตัวเองชอบไหม เราก็ทำได้ แล้วเราก็สนใจเรื่องบ้าน เรื่องเมือง แต่ว่าไม่ได้คิดว่ามันจะเร็วขนาดอายุ 26 ปี ที่จะก้าวออกไปเลย แต่สุดท้ายตัดสินใจ เพราะได้รับโอกาสที่ดี

 

พอเข้ามาในวงการนักการเมืองก็มีคนโทร. มาขู่ มันมาได้ยังไง ?

           

แบม : พี่เป็น ส.ส. เป็นนักการเมือง รวมกันแล้ว 2 สมัย แล้วก็ 8 ปี สมัยแรกเป็นแบบบ้ญชีรายชื่อ คือเลือกมาจากพรรคแล้วเราได้ แต่สมัยที่สอง เราไปลงเลือกตั้งแบบแบ่งเขต คือเป็นตัวแทนในการหาเสียง พอเราลงพื้นที่มีผู้คนหลากหลายต่อสู้ มีการแข่งกันในพื้นที่ค่อนข้างเยอะมาก ดุเดือด หลายกลุ่มหลายพวก อย่างว่าคนที่ลงแข่งเขาอาจไม่ชอบเรา ก็เจอเรื่องน่ากลัว ๆ ตอนนั้นอายุประมาณใกล้ 30 ปี

 

ตอนนั้นกลัวไหม ?

           

แบม : ตอนนั้นตัวคนเดียวลุคบู๊ ทีมเวิร์ก พรรคพวกเยอะก็ไม่กลัวนะคะ เราก็ซ่า

 

พี่แบมจัดการกับความรู้สึกตรงนั้นได้ยังไง ?

           

แบม : พอได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่ พอเราลงไปเขาเฮ เขาอยากให้เรามา มันเหมือนฮึกเหิม แล้วก็ไม่แคร์ เรารู้สึก เรามีประชาชนเป็นโล่ ถ้าอะไรเกิดขึ้นมันคงเป็นเรื่องอะไรที่ไม่น่าจบง่าย ๆ  แล้วตัวคนทำก็ต้องเจออยู่แล้วก็เลยคิดว่าไม่น่ามีใครกล้าเอาตัวเองมาเสี่ยง ก็น่าจะเป็นคำขู่

 

เห็นว่ามีเอาปืนมาขู่ลูกน้องพี่แบมด้วย ?

           

แบม : ใช่ ก็หลากหลาย บางทีเราไปออกงาน บางทีมีคนกินเหล้าเมา มาทีก็มาแบบอะไรอย่างนี้ แต่เราก็รู้อยู่แล้วว่าพื้นที่ไหน จุดเสี่ยงเป็นยังไง อันตราย เราก็จะมีทีมงานที่เข้าไป คือไม่เคยไปไหนคนเดียว

 

มีท้อไหม ?

           

แบม : มีเหนื่อยเป็นพักๆ ท้อมีเป็นระยะๆ  แต่ว่าเราเป็นคนอึด เหนื่อย ๆ พอนอนข้ามคืนเหมือนมันรีชาร์จ มันก็เลยไม่ค่อยรู้สึกว่าจะถอย

 

แล้วกับข่าวลือต่าง ๆ เหมือนเมาท์พี่แบมว่าเป็นภรรยาน้อยบ้าง เวลาเราได้ยินรู้สึกยังไงบ้าง ?

           

แบม : จริง ๆ ตั้งแต่เข้าวงการการเมืองมันก็จะมีมาตลอด ซึ่งจริง ๆ เราเตรียมตัวในระดับนึง เรารู้อยู่พอสมควรว่ามาเป็นนักการเมือง มันเป็นกลยุทธอะในการที่จะดิสเครดิตอีกฝั่งนึง เวลาได้ยินเราก็เซ็งนะ เพราะตอนที่เราอยู่วงการบันเทิง มันมีแฟนคลับ เราไม่ค่อยโดนอะไรแบบนี้ เป็นที่รัก แต่อยู่ดี ๆ เราต้องมาโดนแบบว่าป้ายสีอะไรแบบนี้ แบมเชื่อว่าสุดท้ายความจริงก็ต้องปรากฏออกมาว่ามันเป็นยังไง อย่างเรื่องที่โดนกับท่านหัวหน้าพรรคในยุคนั้น ก็จะเป็นประเด็นโจมตี เพราะว่าท่านหัวหน้าพรรคก็เอ็นดูแบมจริง ๆ ในการทำงาน เพราะเราก็เป็นคนทำงานให้พรรค แล้วก็การทำงานของเราในยุคนั้นก็พิสูจน์คนที่ติดตามการเมืองในยุคนั้น คนที่ออกมาแสดงและหลุดพ้นจากราคีนี้ก็คือภรรยาและลูกสาวของท่านหัวหน้าพรรค

 

แล้วมีคนคิดต่อจริง ๆ ไหม เพราะพี่แบมทั้งสวย ทั้งสาว และอยู่ตรงนั้น น่าจะมีผู้ใหญ่ที่เขามองพี่เหมือนกัน ?

          

แบม : มันก็คงจะมีนะ แต่ว่าเราก็ต้องมีวิธีหลบหลีก เอาตัวรอด

 

แต่ว่าสุดท้ายก็มาพบรักกับคุณสามี ?

           

แบม : ตอนนั้นกำลังจะครบสมัยของการเป็น ส.ส. แล้วนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ต้องมีการยุบพรรค พอเราผ่านการเลือกตั้งไปก็มีเหตุการณ์การยุบพรรค แล้วก็พรรคการเมืองที่สังกัดโดนคำสั่ง กรรมการบริหาร ซึ่งเราเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ต้องเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี เราก็เลยโอเค ทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็เลยเริ่มกลับมาใช้ชีวิตที่เป็นตัวของตัวเอง หลังจากเกือบ 10 ปี ไม่เคยไปนั่งฟังเพลงข้างนอก ใช้ชีวิตสาว ๆ วัยรุ่น ก็เลยมีโอกาสได้ไปแล้วไปเจอกับพี่โบ๊ทโดยบังเอิญที่สถานที่นั่งฟังเพลงที่นึง เราเห็นหน้าเขาแบบไม่รู้ทำไมหน้าเขาเตะตาเรา เราคิดในหัวว่าเด็กคนนี้หน้าตาบ้องแบ๊วจังเลย

 

ทำไมถึงใช้คำว่าเด็ก ?

           

แบม : เพราะคิดว่าเขาอายุน้อยกว่า ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นรุ่นพี่

 

เห็นแล้วสเปกเลยไหม ?

           

แบม : ไม่ ๆ เห็นแล้วแบบเหมือนเราเห็นดาราคนนึง ว่าเออ...น้องคนนี้หน้าตาดีนะ แต่ว่าพอเวลาผ่านไปสักพัก อยู่ดี ๆ ก็แบบแบม ๆ นี่แนะนำให้รู้จักรุ่นพี่โรงเรียนสาธิต หันไปเอ้า...เด็กคนเมื่อกี้ ยกมือไหว้แทบไม่ทัน ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้แนะนำให้รู้จัก

 

แล้วต่อเนื่องกันยังไง ?

           

แบม : เราก็แบบว่า...สวย ไม่รวย แต่หยิ่งนะ เขาก็ขอเบอร์หน่อย แต่เราเป็นคนที่แบบอยู่ดี ๆ ไม่ไปให้เบอร์โทรศัพท์กับใคร ในความรู้สึกแบบไม่ได้ให้เบอร์ผู้ชายแปลกหน้า เหมือนเราแบบมีใจ ก็ไม่ให้ เปลี่ยนเรื่อง แต่เราก็รู้ว่าเดี๋ยวเขาก็คงเอาได้แหละ

 

แล้วนานขนาดไหนพี่ถึงเปิดใจแล้วได้คุยกัน ?

           

แบม : ก็น่าจะประมาณสักเดือน สองเดือน เขาก็โทรมา เริ่มคุยโทรศัพท์ตอนนั้น แต่ว่าไม่ไปกินข้าวกับเขาเลยนะ เรามีความรู้สึกแบบถ้าเราไม่ได้รู้จัก ไม่ได้เป็นเพื่อนของเพื่อนที่เราแบบว่าคุ้นเคยแล้ว ไปนั่งทานข้าวด้วย ยุคนั้นเดี๋ยวจะมีความรู้สึกว่าเรามีใจให้ เสียฟอร์มเรา ไม่ไป ทั้งที่จริง ๆ แล้วต้องไปตั้งนานแล้วนะ

 

สุดท้ายแล้วทำไมถึงต้องไป ?

           

แบม : มันมีเหตุการณ์ที่ต้องเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศ ที่อเมริกาประมาณ 3 สัปดาห์ เขาก็บอกว่ามาเถอะ มาเจอกัน ทานข้าว ไม่มีอะไรกินข้าว คุยกันได้ เราก็มานั่งคิด เราก็ 30 กว่าแล้ว จะมาอะไรกันมากมาย ก็เลยโอเคไปก็ได้ ก็เลยได้ไปทานข้าวกัน 1 มื้อ ก่อนที่จะเดินทางไปต่างประเทศ

 

บรรยากาศเป็นยังไงบ้าง ?

           

แบม : ก็เคร่งเครียด พี่โบ๊ทเขาสนใจเรื่องเหตุการณ์บ้านมือง เขาเป็นคนคุยที่มีสาระ ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่เคยคุยกับผู้ชายที่มาเดทหรือมาจีบในลักษณะประมาณนี้ ก็แปลกใจนิดนึง ก็โอเคเขามีอีกมุมนึงที่เราไม่เคยเจอ ข้ามคืนนั้นก็ไปต่างประเทศ ก็คุยกันผ่านวีดิโอคอล แล้วพอถึงวันที่แบมจะต้องกลับเมืองไทยแล้ว ตอนนั้นอยู่ซาฟราน มันใกล้ถึงเดือนตุลาคมคือวันเกิด เขาก็บอกว่าเดี๋ยวกลับมา มากินข้าวที่กรุงเทพฯ ด้วยกันนะหลังวันเกิด เราโอเค แต่เขาบอกว่าที่นัดไว้ทานข้าวยกเลิกนะ ตอนแรกก็แบบอะไร เขาบอกเดี๋ยวจะบินไปทานที่นั่นด้วย

 

พอเขาบอกเดี๋ยวบินมา พี่เชื่อไหม ?

           

แบม : ช็อก คือแบบนี่อีก 3 วันจะกลับนะ จะมาเหรอ มาได้ยังไงเขาก็บอกไป เดี๋ยวไปพรุ่งนี้เลย

 

รู้สึกยังไงพอเขามาเซอร์ไพรส์ถึงที่ ?

           

แบม : เป็นอะไรที่ประทับใจนะ แล้วมา 2-3 วัน ก็รู้สึกว่าเขาก็ต้องชอบเราจริงนะ

 

วันนั้นตัดสินใจเป็นแฟนกันเลยไหม ?

           

แบม : ค่ะ ก็กลับมาก็คุยกันต่อ จริง ๆ เราก็เริ่มผู้ใหญ่กันแล้ว เป็นคนใกล้ชิดกันไม่ได้ประกาศอะไรว่าเป็นแฟน แต่ก็คือคบกัน

 

คบนานไหมกว่าจะมีการขอแต่งงาน ?

           

แบม : น่าจะประมาณสัก 2 ปี

 

"แบม จณิสตา" เปิดใจ จากพิธีกรตีสิบ สู่ ส.ส. หวิดเสียโฉมโดนขู่สาดน้ำกรด

 

"แบม จณิสตา" เปิดใจ จากพิธีกรตีสิบ สู่ ส.ส. หวิดเสียโฉมโดนขู่สาดน้ำกรด

 

"แบม จณิสตา" เปิดใจ จากพิธีกรตีสิบ สู่ ส.ส. หวิดเสียโฉมโดนขู่สาดน้ำกรด

 

"แบม จณิสตา" เปิดใจ จากพิธีกรตีสิบ สู่ ส.ส. หวิดเสียโฉมโดนขู่สาดน้ำกรด

"แบม จณิสตา" เปิดใจ จากพิธีกรตีสิบ สู่ ส.ส. หวิดเสียโฉมโดนขู่สาดน้ำกรด

 

          

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ