เจาะแบรนด์"พอล"ภัทรพล ศิลปาจารย์

ถูกจัดลำดับไว้ที่แถวหน้า ไม่ใช่แค่งานชุกให้หน้าช้ำ แต่ยังหมายถึง 'คุณภาพ' เป็นที่ยอมรับ รวมถึงพัฒนาการที่สะท้อนถึงความตั้งใจตลอดหลายปีที่ผ่านมา

นอกจากงานหน้ากล้องที่ต้องปรากฎตัวต่อสาธารณะ พอล ภัทรพล คนขยันยังมีกิจการหลากหลายอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสุขภาพ 'ไคโรฟิต' งาน IMC (Integrated Marketing Communication) ในบริษัทส่วนตัวเล็กๆ ที่ชื่อ Go to creations และล่าสุด สำนักพิมพ์ Carpe Dium

นับสิบปีกับประสบการณ์หลากหลาย 'พอล' จึงมีเรื่องเล่าที่ให้ภาพความเป็นตัวเขา และสะท้อนสังคมบันเทิงของประเทศนี้ได้เป็นอย่างดี

@อยากให้เล่าถึงชีวิตงานในช่วงนี้

2-3 ปีที่ผ่านมาถ่ายละครหลายเรื่องพร้อมกัน อาจจะเห็นหน้าผมเยอะ ปีนี้ตั้งใจจะรับทีละเรื่อง คือละครเวที 'สามก๊ก' ซึ่งยังไม่เคยทำมาก่อน จะได้ทุ่มเทกับการซ้อมอย่างเต็มที่ ส่วนที่ประจำอยู่ก็งานพิธีกรรายการ 'วีไอพี' งานเอ็มซีอีเวนท์ต่างๆ อ่านสปอต ส่วน 'ไคโรฟิต' ผมเป็นหุ้นส่วน เพิ่งเปิดสาขา 2 ที่เอกมัย กับบริษัท Go to creations และล่าสุด สำนักพิมพ์ คาเปเดียม

@ทำไมถึงลุกขึ้นมาทำสำนักพิมพ์

;ผมคุยกับ 'คุณนิกกี้' ในรายการวีไอพี เป็น Match maker จับคู่เดทไปกว่า 1,000 คู่ คุยแล้วสนุก มันเป็นหลักการ มีเหตุผล เขาไปเรียนมา ผมแค่คิดขึ้นมาว่าเป็นหนังสือน่าจะน่ารักดี หลังจากนั้นโทรหาคุณนิกกี้ บอกว่าผมฝันอยากทำหนังสือ แต่..“คุณนิกกี้ครับ ผมไม่เคยทำหนังสือเลยนะครับ” แต่เรื่องของคุณผมคิดว่าน่าจะเป็นหนังสือได้ดี คุณนิกกี้พอรู้จักผมมาก่อนก็ตอบตกลง

@ทำทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน

;ได้คำแนะนำจากเพื่อนๆ ในวงการเขียน ผมทำไปเรียนไป โชคดีมีเทรนเนอร์ดี พี่สาวจบนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ มาช่วยดู แล้วก็ฟอร์มทีมขึ้นมา มีฝ่ายบริหาร ติดต่อซื้อกระดาษ ส่วนพีอาร์จัดอีเวนต์เปิดตัวไม่ยากนัก เพราะผมทำอยู่แล้ว เหลือแต่ทำโปรดัก มีอะไรก็คุยกัน แก้ไขต้นฉบับ ปรับแบบพบกันครึ่งทาง ได้อ่านเป็นร้อยรอบ ทำทุกอย่าง ติดต่อสไตลิสต์ เช่าสตูดิโอถ่ายปก จัดรูปเล่ม ออกแบบปก

@รวมๆ แล้วใช้เวลาเท่าไร

6-8 เดือน ถามว่าคุ้มกับผลตอบแทนที่ได้กลับมามั้ย ก็ไม่ แต่สนุกที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้ทำอะไรที่ตัวเองไม่เคยทำ และผลตอบรับดีมากๆ พิมพ์ครั้งที่ 6 และมีคนติดต่อขอไปทำทีวีซีรี่ส์ รวมทั้งมีคนเสนอต้นฉบับเข้ามาค่อนข้างหลากหลาย รู้สึกเป็นเกียรติที่เขาให้ความไว้วางใจสำนักพิมพ์น้องใหม่

@ตอนนี้ใช้เวลากับงานไหนมากที่สุด

IMC ของ Go to creations ผมดูแลโปรเจ็คคอนโดพรีเมียม ที่ซอยทองหล่อ เป็นการรีเฟรชแบรนด์ ปลายเดือนนี้น่าจะเห็นสื่อโฆษณาที่เราทำให้เขา Go to creations ทำมา 2 ปี เริ่มต้นจากอีเว้นท์ออร์กาไนเซอร์ และพีอาร์แพลนเนอร์ แต่ด้วยบุคลากรที่เรามี รวมทั้งตัวผมเองมีประสบการณ์ธุรกิจเลยขยายสโคปงาน ซึ่งเป็นอีกจุดแข็งหนึ่ง บริษัทอีเว้นท์มีมากมาย แต่สิ่งที่ลูกค้าเชื่อมั่นคือไม่ใช่แค่ให้โจทย์แล้วเราคิดโปรดักชั่น แต่เป็นการแชร์ไอเดียด้านการตลาด ทำกลยุทธการตลาดร่วมกับเขา เราเป็นบริษัทเล็กๆ รับเดือนละ 1-2 งาน ทีมงานประจำ 5-6 คน ที่เหลือเป็นฟรีแลนซ์ และมีข้อได้เปรียบเพราะเราทำเองมาเยอะ ผมเป็นเอ็มซีมาเป็นสิบปี งานที่สคริปต์ไม่ดี คนรันคิวไม่ได้ ฉากพัง เวทีพัง ไฟดับ หรือไอเดียดีแต่ไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ก็สามารถนำมาปรับปรุงบริษัท

@งานไหนถือเป็นงานหลัก ถ้ามองในแง่รายได้

..ผมว่า เราเป็นนักแสดงอาชีพ พิธีกรอาชีพ ตรงนี้ทำมานาน ยังถือเป็นงานหลัก ..แต่ถามถึงรายได้ใช่มั้ยครับ (หัวเราะ) ไม่ขอตอบแล้วกันว่างานไหนเยอะสุด ทุกสิ่งที่ทำมีรายได้หมด แต่ไม่ใช่ว่างานนี้รายได้เยอะสุดก็ทุ่มเทมากสุด ก็ไม่ใช่ เราเต็มที่ อย่างหนังสือ รายได้น้อยสุด แต่เราก็สุดๆ กับมันเหมือนกัน

@นักแสดงส่วนใหญ่บอกว่างานบันเทิงไม่ยั่งยืนเลยต้องหาอาชีพสำรอง อะไรคือเหตุผลในการทำธุรกิจของคุณ

มันเป็นสิ่งที่ผมชอบ เป็นสิ่งที่ผมเรียนมา อาจจะอยู่ในสายเลือดมั้งครับ (หัวเราะ) ผมไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจ คุณพ่อเป็นวิศวกร คุณแม่รับราชการ แต่ไม่รู้ทำไม ตัวผมเองมีความเป็นนักธุรกิจในตัวสูง ถามว่าเพื่อรองรับอนาคตที่ไม่แน่นอนของการเป็นนักแสดงหรือพิธีกรหรือเปล่า บอกได้เลยว่าไม่ใช่ ผมคิดว่าในวงการผมยังไปได้อีก ผมคิดเสมอว่าทีวีเป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุด ถ้าเราสามารถผลิตคอนเทนต์ดีๆ ผ่านออกไปให้คนได้ดูพร้อมกันเป็นล้านๆ คน มันก็ดี ผมอยากมีรายการเป็นของตัวเอง แค่ 1-2  รายการ เป็นรายการที่เรารัก และคิดว่ามีประโยชน์กับสังคมก็พอแล้ว

@ถ้าต้องเลือกเพียงงานเดียว คุณจะเลือกงานใด

ตอบยากมาก ..คงเป็นพิธีกร ที่เลือกเช่นนี้ เพราะว่า ..ถ้าต้องทำไปตลอดชีวิต คงต้องเลือกสิ่งที่เป็นตัวของตัวเอง อีกอย่างผมเป็นคนชอบเรียนรู้ ชอบพูดคุยกับคน ผมเป็นคนชอบฟังมากกว่าพูด ไปที่ไหนก็แล้วแต่ พบหมอ เพื่อนแม่ คนขับแท็กซี่ พีอาร์ ก็ชอบคุย รู้สึกว่าทุกคนมีมุมมอง มีความรู้ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ทุกวันผมได้ความรู้ใหม่ๆ เสมอ และคิดว่าเป็นงานที่ถนัด แต่ยังมีอะไรให้ปรับปรุงไปเรื่อยๆ ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น เราต้องมีสติปัญญา ความรู้ที่เพิ่มขึ้น รอบรู้มากขึ้น รูปแบบรายการที่ทำก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย

@การอยู่ในวงการบันเทิงอย่างยั่งยืนดูจะเป็นเรื่องยาก

;ถ้าตอบคำถามในเชิงธุรกิจการตลาด ในแง่มุมที่ผมมอง นักแสดงทุกคน พิธีกร ศิลปินทุกคนคือสินค้า แต่ละตลาดมีมาเก็ตแชร์ อยู่ที่คุณจะ positioning ตัวเองแบบไหน จะเป็นสินค้าราคาแพงพรีเมียม คนอาจจะซื้อคุณไม่ได้บ่อยนัก แต่มาร์จิ้นสูง หรือจะขายถูกหน่อย แต่เทิร์นโอเว่อร์สูง คนเข้ามาหยิบฉวยได้ง่าย

@คุณ positioning ตัวเองแบบไหน

เป็นอาชีพที่ขึ้นกับภาพลักษณ์ คุณภาพงาน หลายๆ อย่าง ถามว่าวางตัวอย่างไร (หัวเราะ) เอ่อ ..ผม..แค่วางว่า ถ้าเอ่ยชื่อ พอล ภัทรพล ศิลปาจารย์ ผมอยากให้คนนึกถึงคุณภาพ และสิ่งที่ดีที่สุด นั่นคือสิ่งที่พยายามทำมาตลอดชีวิตการทำงาน และคงจะเป็นอย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ

@ในวงการบันเทิง น้ำหนักของ 'ภาพ' กับ 'คุณภาพ' ที่แท้จริง เป็นอย่างไร

(หยุดคิด) ..คือผมว่า..ธุรกิจบันเทิงเป็นธุรกิจที่ไม่เหมือนธุรกิจอื่น สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดคืออาชีพนักการเมือง (หัวเราะ) มาคู่กันมากๆ ระหว่างภาพลักษณ์กับคุณภาพ ถามว่าเราเคยเห็นมั้ย คนที่..อาจจะคุณภาพไม่ดีแต่งานเยอะ (หัวเราะ) สมมตินะครับ ก็ยอมรับว่าเรื่องของ 'อิมเมจ' มีความสำคัญ อิมเมจในที่นี้หมายถึงการมีข่าวมาก ก็จะได้รับเชิญไปออกอีเว้นท์มาก เพราะนักข่าวจะได้ตามไปมาก ผมทำอีเว้นท์จะบอกลูกค้าเลยว่าถ้าเป็นแบบนี้ ข่าวลงเยอะ แต่เนื้อหาของผลิตภัณฑ์อาจจะน้อย ลูกค้าที่อยากได้แบรนด์ก็อาจพอใจแค่นี้

แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็ยังเชื่อมั่นในคุณภาพ ยกตัวอย่าง แอน ทองประสม ปีที่แล้วเล่นละครเรื่องเดียว เขาก็ยังได้รางวัล งานโฆษณาเยอะ ถามว่าข่าวเยอะมั้ย ก็กลางๆ นะ ไม่ได้เป็นคนมีข่าวหวือหวา มีหลุดภาพอะไร อาจจะมีข่าวแซวเรื่องแฟนบ้าง

แต่ผมว่าสุดท้ายคุณภาพมาก่อน เรื่องของข่าว เรื่องของภาพลักษณ์เป็นสิ่งไม่ยั่งยืน ถ้าคุณภาพได้ ผสมผสานกับการมีภาพลักษณ์ที่ดี อาชีพนี้ก็จะไปได้ดี คุณภาพทำให้ยั่งยืน