บันเทิง

หนังจอกว้าง - อนึ่งคิดถึงเป็นอย่างยิ่ง

หนังจอกว้าง - อนึ่งคิดถึงเป็นอย่างยิ่ง

12 มี.ค. 2552

ดูเหมือนความสำเร็จของ “บุญชู ไอเลิฟ สระอู” ส่งผลให้ผู้กำกับ บัณฑิต ฤทธิ์ถกล ในวัยเฉียดใกล้ 60 ปี กลับมาสร้างชื่อได้อีกครั้งด้วยการทำหนังวัยรุ่น

  และไม่ว่าค่ายหนังไฟว์สตาร์ต้นสังกัด หรืออาจจะเป็นตัวผู้กำกับเองที่มองเห็นโอกาส หรือไม่ก็พยายามเดินกลับไปทบทวนเส้นทางความสำเร็จของตัวเอง ด้วยการทำหนังอย่าง  “อนึ่ง คิดถึงเป็นอย่างยิ่ง” ตามมาติดๆ (ฉายห่างจาก ‘บุญชู 9’ แค่ 7 เดือน) ในขณะที่ภาคแรก “อนึ่ง คิดถึงพอสังเขป”  ออกฉายนานมาแล้วถึง 17 ปี (ภาคสองใช้ชื่อ “อนึ่งคิดถึงพอสังเขป รุ่น 2” ฉายเมื่อปี 2539) เราพอจะมองความสำเร็จของหนังชุด ‘บุญชู’ ที่ตกทอดมาถึงรุ่นลูกได้นั้น ส่วนหนึ่งมาจากเสน่ห์ของตัวละครชุดเดิม ที่กลับมาสืบต่อ-ส่งผ่าน ถ่ายโอนเรื่องราวไปยังลูกหลานของพวกเขา ในขณะที่หนังชุด ‘อนึ่งฯ’ ไม่ว่าจะภาคไหนก็ตาม คือการกลับมาเริ่มต้นเล่าเรื่องราวใหม่ๆ ตัวละครใหม่ๆ ที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงถึงภาคก่อนหน้าแม้แต่น้อย

 ใช่ว่าอาการต่อไม่ติดของหนังชุด ‘อนึ่งฯ’ ในแต่ละภาค จะกลายเป็นปัญหาสำหรับตัวหนัง แต่การเล่าเรื่องแบบกระจัดกระจาย มีตัวละครมากมาย หลากหลายคาแรกเตอร์ ผสมปนเปกันไป อีกทั้งแต่ละคนยังประสบพบเจอปัญหาสารพันให้ต้องแก้ มีเรื่องวุ่นวายให้ต้องเผชิญ มากบ้างน้อยบ้าง ทุกข์บ้าง สุขบ้าง คละเคล้ากันไป แต่ผู้กำกับสามารถจัดการเรื่องราวเหล่านี้ให้รวมเป็นองก์เดียวกันได้อย่างกลมกลืน ทุกมุกตลกที่สอดแทรกเข้ามาเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แก่นสารอันว่าด้วยการก้าวพ้นชีวิตวัยรุ่นถูกขับเน้นอย่างโดดเด่นใน “อนึ่งคิดถึงพอสังเขป” จึงกลายเป็นงานชั้นดี ที่ไม่เพียงแค่เล่าเรื่องได้สนุกสนานมีสาระเท่านั้น หากแต่ศาสตร์ของภาษาหนังยังถูกนำมารับใช้แก่นของเรื่องได้อย่างลงตัว ถือเป็นงานพาณิชย์ศิลป์ที่น่าชมเชย โดยเฉพาะฉากเข็นรถสามล้อขึ้นสะพาน ที่ปรากฏขึ้นสามครั้ง ในต่างกรรม ต่างวาระ เป็นการใช้สัญลักษณ์ทางภาพเพื่อสื่อความหมายได้อย่างยอดเยี่ยม ชนิดที่ผู้ชมสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องผ่านการตีความอันซับซ้อน

 มาถึง “อนึ่ง คิดถึงพอสังเขป รุ่น 2” แม้ศิลปะทางภาพยนตร์จะลดทอนลงไป แต่เนื้อหากลับเข้มข้น มีเส้นเรื่องที่ชัดเจน ทุกตัวละครมีอุปสรรคให้ร่วมกันฟันฝ่า มีจุดหมายปลายทางเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และถึงแม้จะไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดในหนังข้องเกี่ยวกับภาคแรกแม้แต่น้อย แต่หนังก็มีเสน่ห์และความสนุกสนานในตัวเองระดับหนึ่ง   

 ขณะที่ ‘อนึ่งฯ 3’ ในอีก 13 ปีต่อมาโดยใช้ชื่อว่า “อนึ่งคิดถึงเป็นอย่างยิ่ง” นั้น ยังคงไม่มีความเกี่ยวโยงจากสองภาคแรกเหมือนเคย แต่ยังพอมองเห็นร่องรอยของความพยายามนำวิธีการเล่าเรื่องจากสองภาคแรกมาใช้ในภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็นการย้อนกลับไปรำลึกความหลังสมัยเรียนมัธยมของตัวละครแบบภาคแรก การใช้โครงสร้างของเรื่องราวในภาคที่สอง เมื่อให้ตัวละครสองกลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันหันมาจับไม้ร่วมมือ ฟันฝ่าอุปสรรคร่วมกันในนาทีสุดท้าย...ผลลัพธ์ก็คือครึ่งแรกของ ‘อนึ่งฯ 3’ เป็นการฉายภาพชีวิตนักเรียนมัธยมในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนจบการศึกษาที่ไม่มีอะไรมากกว่าเล่นสนุกสนานเฮฮาไปวันๆ โดยโฟกัสไปที่เด็กสองกลุ่มตัวแทนของ สายวิทย์ และสายศิลป์ ที่ต่างเป็นไม้เบื่อไม้เมาจนกระทั่งแยกย้ายกันไปเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา และเมื่อวันหนึ่งได้ข่าวว่าโรงเรียนกำลังจะถูกทุบทิ้งเพื่อสร้างเป็นศูนย์การค้า เด็กทั้งสองกลุ่มจึงกลับมาที่โรงเรียนเพื่อรำลึกถึงความหลังเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันมาจับมือกันหาทางนำโรงเรียนของพวกเขากลับคืนมา

 เวลากว่าค่อนเรื่องของ “อนึ่ง คิดถึงเป็นอย่างยิ่ง” หมดไปกับมุกตลกและแก๊กทั้งหลายมากมายประดามีที่ใช้ไปกับการเล่นหัว หยอกล้อ แกล้งกันตามประสาวัยรุ่น (ที่บางครั้งออกจะดูเชยไม่เข้ากับยุคสมัย) หนังเปิดเรื่องด้วยภาพความสนุกสนานของชีวิตนักเรียนมัธยม(ซึ่งยาวมากกกก) ก่อนจะฉายภาพเดิมซ้ำไป-มาอีกครั้ง ภายใต้บุคลิกที่เปลี่ยนไปของตัวละครที่เติบโตขึ้น เมื่อพวกเขากลับมาตั้งแคมป์นอนในโรงเรียนเพื่อรำลึกถึงความหลังก่อนจะถูกทุบทิ้ง...‘อนึ่งฯ 3’ ยังพอหลงเหลือแก่นสารบางอย่างให้พอจับต้องได้ โดยเฉพาะประเด็นการรุกรานของระบบทุนนิยม แต่ขณะเดียวกันเส้นเรื่องในการนำไปสู่ประเด็นที่ว่านี้กลับบางเบา ไร้น้ำหนักและทิศทาง เพราะมัวแต่เสียเวลาไปกับการนำเสนอภาพความซนแก่นของเด็กๆ ในเรื่องที่มีมากกว่า 10 คน แน่นอนว่าถ้าบทหนังไม่เฉียบคม กระจายน้ำหนักไปยังตัวละครแต่ละคนไม่เพียงพอ ปัญหาก็คือเราแทบจะจำตัวละครเหล่านั้นไม่ได้  และเมื่อเดินทางมาถึงฉากสำคัญ หนังก็แทบไม่มีพลังจูงใจให้ติดตามเรื่องราวต่อไป เพราะเพียงแตะปมปัญหาแค่ผิวเผิน อีกทั้งยังคาดหมายถึงบทสรุปได้ล่วงหน้า ในขณะที่การคลี่คลายสถานการณ์คับขันก็ง่ายเกินไปเสียจนไม่หลงเหลือความน่าเชื่อถือ จนทำให้ฉากจบของ ‘อนึ่งฯ 3’ นั้น ดูเชยเกินกว่าที่จะเกิดขึ้นได้ใน พ.ศ. นี้

 ยุครุ่งเรืองของหนังวัยรุ่นประเภทกระโปรงบานขาสั้นกลับมาอีกแล้วครับ แต่ก็คงจะเป็นในแง่ของปริมาณซะมากกว่า เพราะเอาเข้าจริงการแสวงหาพล็อตใหม่ๆ แทบไม่เกิดขึ้นเลยนอกจากแค่บอกเล่าเรื่องราวความรักและชีวิตสดใสในวัยเรียนไปวันๆ แม้ที่ผ่านมาจะมีหนังที่พยายามฉีกแนวออกไปบ้าง ด้วยการพูดถึงประเด็นของการค้นหาตัวเองอย่าง “ซีซั่นส์ เชนจ์ เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย” หรือหนังที่ให้น้ำหนักกับความรักในหลายรูปแบบผ่านตัวละครเอกที่เป็นเด็กมัธยมอย่าง “รักแห่งสยาม” ก็ตาม นอกเหนือจากนั้นล้วนเป็นหนังรักวัยรุ่นที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ ทั้งในแง่ความแปลกใหม่หรือการให้ความสำคัญกับเนื้อหาสาระในแง่มุมต่างๆ และถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน บรรยากาศของหนังวัยรุ่นกระโปรงบานขาสั้นก็คล้ายกับในปัจจุบัน คือมากด้วยปริมาณ แต่น้อยต่อการเป็นที่จดจำ

"ณัฐพงษ์ โอฆะพนม"

ชื่อเรื่อง : อนึ่งคิดถึงเป็นอย่างยิ่ง
ผู้กำกับ-เขียนบท : บัณฑิต ฤทธิ์ถกล
นักแสดง : รัชวิน วงศ์วิริยะ, ทองเปาด์ ทองกำเหนิด, ธนฉัตร ตุลยฉัตร, ธวัชชัย เพ็ญภักดี, เกล้าแก้ว สินเทพดล, นาตาชา เบลค, ประจัญพล วงษ์ดนตรี, นิจชิตา จารุวัฒน์, วิกรม สิทธิพลากุล, วุฒิกานต์ เต็งวงษ์วัฒนะ, สมประสงค์ ศรีบัว, ธิบดินทร์ สันทัดค้า, พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์, กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล, พิเชษฐ์ ประดับชนานุรัตน์
วันที่เข้าฉาย : 12 มีนาคม 2552