
หนังจอกว้าง : 2553 ปีแห่งหนังรัก-ตลก
จั่วหัวไว้แบบนี้ ก็เพราะเห็นไลน์อัพหนังไทยที่วางกำหนดเข้าฉายในครึ่งปีแรก จากจำนวนยี่สิบกว่าเรื่อง กว่าครึ่งเป็นหนังรัก-ตลก ในขณะที่หนังผีนั้นมีจำนวนลดลง (ต่ำมากอย่างน่าใจหาย) แม้จะอ้างอิงได้ไม่เต็มปากเต็มคำนักว่า ความสำเร็จของหนังรักเฉียด 150 ล้านอย่าง
‘รถไฟฟ้ามาหานะเธอ’ บวกกับเหล่าหนังตลกแตะ 100 ล้านอีกหลายเรื่องทั้ง ‘สาระแนห้าวเป้ง’ ‘วงษ์คำเหลา’‘แหยมยโสธร 2’ ‘หอแต๋วแตกแหกกระเจิง’ และ ‘โหดหน้าเหี่ยว 966’ ในปีที่ผ่านมา จะเป็นตัวชี้นำว่า หนังรัก-ตลก หรือตลกเพียวๆ จะยังได้รับความนิยมจากผู้ชมอย่างต่อเนื่อง แม้ปีที่แล้วจะมีหนังผีร้อยกว่าล้านอย่าง ‘5 แพร่ง’ หรือหนังผีครึ่งร้อย(ล้าน)เรื่อง ‘แฟนเก่า’ เป็นหนังทำเงินกู้หน้าให้แก่หนังผีที่ยังได้การตอบรับจากผู้ชมเสมอ และน่าจะเป็นตัวฉุดให้กระแสหนังผีกลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่กลับกลายเป็นว่าถ้าหันไปมองดูปีหนังผีปี 2552 ให้ดีจะพบว่า มีหนังผีอีกกว่าสิบเรื่องที่ล้มเหลว เละเทะไม่เป็นท่า ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น หนังผีเฟรนไชส์บางเรื่องซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนดูมาตลอด เช่น ‘บุปผาราตรี’ ที่ครั้งนี้ รายรับของผีบุปผา 3.1 และ 3.2 รวมกันยังได้ไม่เท่าภาคแรก หรือ หนังผีสี่เรื่องสั้น ที่วางพล็อตเรื่องและเล่นกับอารมณ์หลอนระทึกได้น่ากลัวไม่แพ้ ‘4 แพร่ง’ อย่าง ‘มหาลัยสยองขวัญ’ กลับทำเงินได้ต่ำเตี้ยจนน่าใจหาย แม้กระทั่งหนังที่มีจุดขายและพละกำลังในการประชาสัมพันธ์ที่แข็งแรงอย่าง ‘6:66 ตาย ไม่ได้ตาย’ ของค่ายเวิร์คพ้อยท์ ก็ยังไปได้ไม่ไกลอย่างที่หวัง ดังนั้นปี 2553 จึงถือเป็นความซบเซาของหนังผีสำหรับตลาดหนังไทยในเวลานี้
มองในอีกแง่ หากปี 2553 แวดวงหนังไทยจะเต็มไปด้วยหนังรัก-ตลก มากมายที่ออกฉายแข่งกัน แม้ส่วนหนึ่งจะมาจากกระแสความสำเร็จของ ‘รถไฟฟ้า มาหานะเธอ’ แต่ถ้ามองอีกนัยหนึ่งจะพบว่า ต้นทุนของหนังแนวนี้ไม่สูงนัก (เพราะถ้าเทียบกับหนังผี อย่างหลังอาจจะเพิ่มงบประมาณของการทำเทคนิคซีจี รวมทั้งงานเมคอัพ ที่มากกว่าหนังแนวอื่นด้วยซ้ำไป) ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า หนังรักทำง่าย ใช้ทุนต่ำ ส่งผลให้ความเสี่ยงน้อย ได้กำไรเยอะ เสมอไป เพราะถ้าเมื่อหนังรักไม่มีจุดขายแรงๆ และศักยภาพในการขายตรงน้อยกว่าหนังผี ดังนั้นคนทำจึงต้องคิดให้มากขึ้น วางแผนรัดกุมให้มากขึ้น ใช้เวลาในการพัฒนาบทมากขึ้น ที่สำคัญ ‘โอกาส’ และ ‘ความฟลุก’ ก็ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะทำให้หนังรักเรื่องนั้นๆ ประสบความสำเร็จได้ เรียกว่าหนังรักนั้นแม้ใช้เงินน้อย แต่ก็ต้องเปลืองสมองคิด และอาศัยโอกาสที่เราไม่อาจคาดเดาได้ นำพาให้หนังไปตลอดรอดฝั่งสำเร็จ
ลองดูรายชื่อหนังรักในช่วงครึ่งปีแรกดูบ้าง เริ่มจาก “อยากได้ยินว่ารักกัน” ที่เข้าฉายสัปดาห์นี้ ไปจนถึงสัปดาห์หน้ากับหนังวัยรุ่น “After School วิ่งสู้ฝัน” (ที่อาศัยจุดขายทั้งการเป็นหนังรักและหนังเพลง) หรือแม้แต่ภาคต่อกลายๆของหนังรักที่จับกลุ่มคนทุกวัยอย่าง “My Valentine แล้วรักก็หมุนรอบตัวเรา” ในเดือนถัดไป หนังรักลำดับที่สามของผู้กำกับพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง เรื่อง “The Dog” ที่วางโปรแกรมฉายเดือนเมษายน หนังที่ตั้งชื่อได้หวานจนเลี่ยนอย่าง “สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก” ของนักแสดงที่ผันตัวมาเป็นผู้กำกับอีกคนอย่าง ‘เสนาเพชร’ พุฒิพงษ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร และหนังรักจากสตูดิโอหน้าใหม่ชื่อ บ.ดิ แอ็คชั่น เรื่อง “In Love ด้วยรัก” ที่พักหลังค่ายนี้ขยันทำหนังออกมาติดๆ กันหลายเรื่อง ซึ่งในจำนวนหลายเรื่องที่ว่า ก็ไม่รู้ชะตากรรมเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง ตั้งแต่ปีที่แล้วกับหนังผีชื่อ ‘กระสือฟัดปอบ’ และ ‘จ๊ะเอ๋ โกยแล้วจ้า’ รวมทั้งหนังบู๊-ตลกรับศักราชใหม่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเรื่อง ‘สี่สิงห์ คอนเฟิร์ม’ (ถ้าสร้างหนังเยอะแล้วคุณภาพเป็นแบบนี้ลดปริมาณลงหน่อยดีกว่ามั้ย?) สรุปแล้วครึ่งปีแรกมีหนังรักให้ดู 6 เรื่อง ใน 6 เดือน ถือว่ามากกว่าปีที่แล้วนิดหน่อย
ขณะที่หนังตลก ซึ่งมีจำนวนเท่าๆ กัน หรืออาจจะมากกว่านิดหน่อย ทว่าดูจากฟอร์มแล้ว หลายๆ เรื่องน่าจะติดอันดับหนังทำเงินประจำปี เริ่มจาก “บ้านฉันตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้)” ของค่ายจีทีเอช ที่เปลี่ยนชื่อจาก ‘บ้านฉันตะหลึ่งตึ่งโป๊ะ’ หนังดัดแปลงจากหนังสั้น ‘เกิดเป็นตลก’ ของผู้กำกับวิทยา ทองอยู่ยง แห่ง ‘แฟนฉัน’ ที่กวาดคำชมและรางวัลมาเกือบทุกสถาบันที่หนังสั้นเรื่องนี้เดินทางไปเยือน ค่ายพระนครฟิล์มที่กำลังโตวันโตคืน และขยายแนวทางการทำหนังออกไปเรื่อยๆ ปีนี้นอกจากรุกตลาดหนังแอ็กชั่นทุนสร้างสูงแล้ว ยังหวังยึดตำแหน่งแชมป์หนังตลกกลับคืน (หลังจากก่อร่างสร้างตัวกับ ‘หลวงพี่เท่ง’ มาเมื่อหลายปีก่อน) กับหนังตลกเรื่องใหม่ของโน้ต เชิญยิ้ม ที่มีชื่อว่า “กองพันครึกครื้น ท.ทหารคึกคัก” เช่นเดียวกับ สหมงคลฟิล์ม ที่วางใจให้ลักษณ์ฟิล์มของวิลลี่ เปิ้ล หอย กลับมาทวงความสำเร็จอีกครั้งในหนัง “สาระแนสิบล้อ” และเดิมพันครั้งใหญ่จากการจับมือกับเวิร์คพ้อยท์ ที่ปล่อยหนังตลกฟอร์มโตที่ระดมดาราประจำค่ายออกมาไล่เลี่ยกัน นั่นคือ “ตุ๊กกี้ เจ้าหญิงขายกบ” และ “พระเท่ง โยมโหน่ง” ที่สำคัญ สหมงคลยังมีสุดยอดโปรเจกท์ยักษ์กับงานกำกับ-แสดงนำเรื่องที่ 7 ของหม่ำ จ๊กมก ที่คว้าตลกทั่วฟ้าเมืองไทยมารวมไว้ในหนังเรื่อง “โป๊ะแตก แยกทางนรก” ส่วนผู้กำกับยุทธเลิศ ที่พักหลังมือตก เพราะหนังหลายเรื่องทำรายได้พลาดเป้า ก็หันมาจับภาคต่อของหนังตลกที่เจ้าตัวสร้างปรากฏการณ์เอาไว้เมื่อหลายปีก่อนอย่าง “มือปืนโลกพระจัน” โดยในปีนี้ยุทธเลิศมี “มือปืนดาวพระศุกร์” เป็นงานที่หวังกลับมาแก้มือ กู้ชื่อผู้กำกับหนังทำเงินกลับมาให้ได้อีกครั้ง และที่ผิดคาดคือหนังผีที่ลดจำนวนลงเกือบเท่าตัว ตลอดครึ่งปีนี้มีหนังผีให้ดูกันแค่สองเรื่องได้แก่ “ตายโหง” ที่จะเข้าฉายปลายเดือนนี้ และ “9วัด” ที่ต้องรอกันถึงเดือนเมษายน ซึ่งในระหว่างนี้ ก็รอดูหนังเขย่าขวัญไปพลางๆ แต่ก็ถือว่าหนังสองเรื่องนี้มีความน่าสนใจไม่น้อยเพราะ “Who are You?” ของสหมงคลฯ ได้นักแสดงมากฝีมืออย่างสินจัย เปล่งพานิช มารับบทนำ ส่วน “เขี้ยวอาฆาต” จากค่ายพระนครฟิล์ม ก็มีจุดขายอยู่ที่การผจญกับเหล่าอสรพิษร้ายนับร้อยของมนุษย์ ที่หนังแนวนี้เคยประสบความสำเร็จมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่ที่ไม่น่าพลาดก็คือโปรแกรมทองของครึ่งปีนี้ สำหรับขบวนหนังมหากาพย์แห่งปีที่หลายคนรอคอย ไม่ว่าจะเป็น “บางระจัน 2” “องค์บาก 3” และ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 3” หนังฟอร์มยักษ์ภาคต่อที่ทุ่มทุนสร้าง ทุ่มเทเวลานานนับปี กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ให้ได้ดูกัน
ปี 2553 แม้จะเป็นปีของหนังรัก-ตลก แต่ก็เต็มไปด้วยสีสันที่น่าจับตามองอย่างที่สุด
ณัฐพงษ์ โอฆะพนม