
หนังไทย 5 เรื่องดีที่ถูกลืมในปี52
1. เฉือน
แม้จะเป็นหนังที่ล้มเหลวด้านรายได้มากที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้ แต่ “เฉือน” ก็ถือเป็นหนังที่มีเนื้อหาเข้มข้น จริงจังและสะท้อนด้านมืดของสังคมไทยได้ชัดเจนมากที่สุดเรื่องหนึ่งในรอบหลายปี นอกจากนี้ ยังเป็นหนังที่ผู้กำกับสามารถเค้นและเคี่ยวกรำการแสดงของนักแสดงแต่ละคน เมื่อนำมาหลอมรวมกับเนื้อหาที่ดี ก็ทำให้หนังออกมายอดเยี่ยมและลงตัวอย่างที่เห็น ซึ่งเหล่านักแสดงที่ว่าก็มีตั้งแต่รุ่นใหญ่มากฝีมืออย่าง ฉัตรชัย เปล่งพานิช, รุ่นใหม่ที่กำลังมาแรงอย่าง "เป้" อารักษ์ อมรศุภศิริ ไปจนถึง รุ่นเล็ก โดยเฉพาะนักแสดงเด็กสองคนที่มารับบท ‘ไท’ และ ‘นัท’ ตอนเด็ก
ไม่เพียงเนื้อหาที่ตีแผ่ความเลวร้ายในสังคมไทย โดยเฉพาะประเด็นที่เด็กตกเป็นเหยื่อจากการกระทำย่ำยีทางเพศของผู้ใหญ่ ดังนั้นความรุนแรงที่สะท้อนออกมาในหนังฆาตกรรมเรื่องนี้ จึงไม่ได้มีแค่เพียงฉากฆ่าฟันกันจนเลือดสาด ชวนหวาดเสียวเท่านั้น รวมทั้งฉากที่แสดงนัยทางเพศ ล้วนโน้มนำความรู้สึกเศร้าสะเทือนใจ และหดหู่กับเรื่องราวที่ “เฉือน” ได้ทำหน้าที่เป็นกระจกบานใหญ่ สะท้อนด้านมืดในสังคมไทยได้อย่างน่าเจ็บปวดที่สุดเรื่องหนึ่ง เป็นหนังที่เมื่อดูจบแล้ว ตรึงเราให้ฉุกคิดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ชั่วขณะเลยทีเดียว
2. ท้าชน
ภาพลักษณ์ของความเป็นหนังแอ็กชั่นที่ปรากฏใน “ท้าชน” อาจทำให้เราไพล่คิดไปว่า น่าจะเป็นหนังบู๊ดาษๆ ที่เน้นความสมจริงสมจังของการตีต่อยสะใจคอหนังแนวนี้เท่านั้น รวมทั้งเนื้อหาเรื่องราวก็ไม่ได้แตกต่างไปจากแค่การตามล้างแค้นกันไปมาของฝ่ายร้ายฝ่ายดี หากแต่ความโดดเด่นของหนังเรื่องนี้ กลับอยู่ที่การวางคาแรกเตอร์ของตัวละคร และบริบทแวดล้อมที่ตัวละครเหล่านั้นขับเคลื่อนชีวิตไป ความแปลกใหม่ ‘ท้าชน’ เริ่มจากการออกแบบลีลาการต่อสู้ผ่านการแข่งขันกีฬาแนวสปอร์ตติ้ง สตรีท ที่เรียกว่า ‘ไฟร์บอล’ ที่เน้นความรุนแรง และรวดเร็ว รวมถึงตัวละครในหนังล้วนข้องเกี่ยวกับแวดวงอาชญากรรม ทุกคนใช้ชีวิตอยู่ในด้านมืด ดำเนินชีวตอยู่ภายใต้ธุรกิจนอกกฎหมายของวงการพนันขันต่อ
ที่สำคัญหนังยังสะท้อนการเมืองไทย ด้วยการแบ่งเหล่าตัวละครผู้มีอิทธิพลออกเป็นก๊ก เป็นเหล่า แต่ละฝ่ายต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน โดยมีทีม ‘ไฟร์บอล’ ภายใต้การดูแลของแต่ละคนใช้เป็นฐานการช่วงชิงความได้เปรียบเสียเปรียบ โดยไม่คำนึงถึงชะตากรรมของลูกทีมว่าจะเป็นอย่างไร พานให้นึกไปถึงกลุ่มการเมืองบ้านเราทุกวันนี้ ที่พยายามปลุกเร้า ชักนำมวลชนเข้ามาเป็นฐานในการเคลื่อนไหว เพื่อประโยชน์ของตนเป็นสำคัญ โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นและผลกระทบที่เกิดขึ้น
3. ความสุขของกะทิ
รายได้สิบกว่าล้านบาท ดูจะน้อยไปสักนิดเมื่อเทียบกับความสำเร็จ เมื่อครั้งอยู่ในฐานะวรรณกรรมเรื่องเยี่ยม ที่นอกจากคว้ารางวัลซีไรต์แล้ว ยังมียอดพิมพ์ยอดขายในระดับเบสต์เซลเลอร์เล่มหนึ่งของเมืองไทยเลยทีเดียว
“ความสุขของกะทิ” เป็นหนังที่ดูจะแบ่งผู้ชมออกเป็นสองฟาก ฝ่ายหนึ่งชื่นชมยกย่อง ที่หนังสามารถถ่ายทอดบรรยากาศชนบทให้ออกมาดูสงบงาม เล่าเรื่องด้วยความเรียบง่ายไม่ฟูมฟาย แต่กลับพาคนดูให้ดื่มด่ำไปกับความรักความผูกพันที่เด็กหญิงตัวน้อยๆ คนหนึ่งพึงได้รับจากผู้ใหญ่ที่รายล้อมตัวเธอ และชวนให้สะเทือนใจไปกับชะตากรรมที่เธอต้องประสบ
ขณะที่คนดูอีกฟากหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มใหญ่กว่า ต่างบอกว่าหนังดูราบเรียบน่าเบื่อ ไม่ชวนให้ติดตาม และทักษะการเล่าเรื่องให้น่าสนใจ ดูจะห่างไกลจากงานวรรณกรรมต้นฉบับ และไม่ว่าหลายเสียงจะสะท้อนความคิดเห็นออกมาหลากหลายแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม แต่จุดมุ่งหมายของงานชิ้นนี้ ไม่ว่าจะเล่าผ่านรูปแบบไหน ก็ล้วนต้องการสื่อถึงการมีทัศนะคติที่ดีต่อชีวิตไม่ว่าประสบชะตากรรมเลวร้ายเพียงใดก็ตาม และความรักที่มนุษย์มีให้กันจะสามารถนำพานาวาชีวิตไปพบกับความสุขได้ในที่สุด
4. ณ ขณะรัก
จากชื่อแรกว่า “A Moment in June” และออกตระเวนฉายในเทศกาลหนังหลายแห่งทั่วโลก (โดยเปิดตัวครั้งแรกในเมืองไทยในเทศกาลหนังเวิลด์ ฟิล์ม เมื่อปี 2551) หนังถูกตั้งชื่อภาษาไทยใหม่ว่า “ณ ขณะรัก” เมื่อถูกนำออกฉายในวงกว้าง ผ่านการจัดจำหน่ายของ บริษัท สหมงคลฟิล์ม ซึ่งนอกจากความไพเราะของภาษาที่ใช้แล้ว ยังสื่อถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังได้อย่างตรงตัว นี่คือหนังไทยที่พยายามหลุดพ้นออกจากกรอบการเล่าเรื่องเดิมๆ ทั้งเนื้อหาและวิธีการ ขณะเดียวกันงานสร้างยังเต็มไปด้วยความประณีตงดงาม (แม้จะได้อิทธิพลของงานด้านภาพจากหนังของหว่องกาไวก็ตาม)
ที่สำคัญยังเป็นหนังที่ใช้ศักยภาพของนักแสดงไทยมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ตั้งแต่การประกบคู่ของรุ่นใหญ่อย่าง สุเชาว์ พงษ์วิไล, เดือนเต็ม สาลิตุลย์ รวมถึงรุ่นใหม่อย่าง กฤษดา สุโกศล แคลป์ และสินิทรา บุณยศักดิ์ แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ การแสดงอันเข้มข้น และความท้าทายในการรับบทบาทใหม่ๆ ของ ชาคริต แย้มนาม และนภัสกร มิตรเอม บทคู่รักเกย์ของทั้งคู่ ต่างบ่งชี้ว่าพวกเขาเป็นนักแสดงอนาคตไกล เป็นหนึ่งในกลุ่มคนคุณภาพของเมืองไทยเลยทีเดียว
5. นางไม้
ไม่ว่าผู้กำกับคนนี้ จะทำหนังแนวไหนเรื่องอะไรออกมา มักจะเป็นที่ถูกจับตาอยู่เสมอ และถึงแม้หนังทุกเรื่องของผู้กำกับ เป็นเอก รัตนเรือง จะไม่ได้ทำเงินถล่มทลายในบ้านเกิด แต่ก็สร้างชื่อในระดับนานาชาติเสมอ ตั้งแต่การได้รับเชิญให้เข้าฉายในเทศกาลหนังหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงได้รับเลือกให้เข้าประกวดในเทศกาลหนังระดับโลกอยู่บ่อยครั้ง “นางไม้” ก็เช่นเดียวกัน นอกจากภาษาหนังของเป็นเอก ที่ปรากฏอยู่อย่างเด่นชัดในหนังของเขาทุกเรื่อง เขายังพาผู้ชมเดินทางไปสำรวจด้านมืดในใจผู้คนเสมอ เพียงแต่ครั้งนี้ เป็นเอกเลือกเดินทางผ่านป่ารกชัฏ ที่เป็นเสมือนกับความซับซ้อนในใจคน ที่มีทั้งความดีงาม ผิดบาป ปะปนจนบางครั้งไม่สามารถแยกแยะหรือควบคุมซ่อนเร้นมันได้อีกต่อไป
ในปี 2553 หวังใจให้หนังดีที่ถูกลืม อย่าได้มีจำนวนมากไปกว่านี้ หนังดีๆ ดูที่โรงภาพยนตร์จะมีความสุขที่สุดครับ