บันเทิง

ดาวดับ-ดาวร่วงจากฟากฟ้าฮอลลีวู้ด

ดาวดับ-ดาวร่วงจากฟากฟ้าฮอลลีวู้ด

27 ธ.ค. 2552

ปี 2552 ได้รับการขนานนามจากสื่อหลายสำนักว่าเป็น "ปีแห่งดาวดับ" เพราะคนดังจากทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในแวดวงฮอลลีวู้ด เสียชีวิตกันเป็นใบไม้ร่วง บ้างก็เจอกับข่าวฉาวเรื่องผู้หญิงยิงเรือที่เกือบทำให้หน้าที่การงานต้องล่มสลาย

ดาวดับดวงที่ฮือฮาที่สุดต้องยกให้ ไมเคิล แจ็กสัน ราชาเพลงป๊อป เจ้าของตำนานลูบเป้าเขย่าโลก ซึ่งเสียชีวิตเพราะแพทย์ประจำตัวจ่ายยานอนหลับให้เกินขนาด แถมยาที่จ่ายให้ยังไม่ใช่ยานอนหลับธรรมดา แต่เป็นยาที่วิสัญญีแพทย์จะให้เฉพาะผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดตามโรงพยาบาลเท่านั้น

 ไมเคิล วัย 50 ปี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน เพียงไม่กี่วันก่อนหน้าที่จะขึ้นแสดงคอนเสิร์ต "ดีส อีส อิท" ถึง 50 รอบในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็น "คัมแบ็ก คอนเสิร์ต" ครั้งยิ่งใหญ่ที่เจ้าตัววาดฝันเอาไว้ว่าจะทำให้ชื่อเสียงกลับมาขจรขจายอีกครั้ง

 ทว่า ฝันของไมเคิล และแฟนๆ ของราชาเพลงป๊อปต้องสลาย เมื่อมีผู้พบไมเคิลนอนไม่ได้สติอยู่ที่บ้านพักในแอลเอ แพทย์พยายามปั๊มหัวใจอยู่นานนับชั่วโมงแต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตเอาไว้ได้

 ร็อก แอนด์ โรลล์ ฮอลล์ ออฟ เฟม พูดถึงไมเคิลเอาไว้ว่า "แจ็กสันทำให้โลกตกตะลึงได้อย่างที่น้อยคนนักจะทำได้ เขายิ่งใหญ่เทียบเท่าศิลปินระดับตำนานอย่าง เอลวิส เพรสลีย์ เดอะ บีเทิลส์ และ แฟรงค์ ซินาตรา" ขณะที่ ดิค คลาร์ก โปรดิวเซอร์ชื่อดัง กล่าวว่า ไมเคิลเป็นศิลปินที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาศิลปินหลายพันคนที่ตัวเขาเคยร่วมงานด้วย

 "หลายคนพยายามเลียนแบบไมเคิล แต่ไม่มีใครทำได้ เพราะเขาเป็นของจริง" ผลงานเพลงของไมเคิลสามารถขายได้มากถึง 750 ล้านแผ่นทั่วโลก แถมยังได้รับการบันทึกสถิติจากกินเนสส์บุ๊กในฐานะเอ็นเตอร์เทนเนอร์ที่ประสบความสำเร็จตลอดกาลอีกด้วย

ฟาร์ราห์ ฟอว์เซต

 ดาวดวงที่ 2 ดับแสงลงในวันเดียวกับไมเคิลทำให้ถูกความแรงของราชาเพลงป๊อปกลบมิด ทั้งๆ ที่ ฟาร์ราห์ ฟอว์เซต ก็เป็นนักแสดงระดับตำนานคนหนึ่ง จนถึงขั้นที่คนพากันเรียกทรงผมแบบของเธอว่า "ทรงฟาร์ราห์" เลยทีเดียว

 ฟาร์ราห์ ฟอว์เซต โด่งดังจากบท "จิล มอนโรว์" ในละครนางฟ้าชาร์ลีที่ออกฉายเมื่อปี 2519 ภาพโปสเตอร์ฟาร์ราห์สวมชุดว่ายน้ำสีแดงพร้อมรอยยิ้มสดใสทำยอดขายได้ถึง 12 ล้านแผ่น และกลายเป็นโปสเตอร์ที่เด็กหนุ่มอเมริกันในยุคนั้นต้องมีติดห้องนอน

 ฟาร์ราห์เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ขณะมีอายุได้ 62 ปี เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้เมื่อปี 2549 และได้ต่อสู้อย่างเข้มแข็งมาตลอด โดยเมื่อต้นปี ฟาร์ราห์ตัดสินใจถ่ายทำสารคดีการต่อสู้โรคมะเร็งของตัวเอง ชื่อว่า  "ฟาร์ราห์ สตอรี่" ออกฉายทางโทรทัศน์ โดยไม่แคร์ที่จะให้คนได้เห็นภาพอดีตเซ็กซิมโบลยุค 70 อย่างเธอต้องใส่ชุดคนไข้นอนแบ็บอยู่บนเตียง

แพทริค สเวย์ซี

 ดาราชายที่โด่งดังเป็นพลุแตกจากภาพยนตร์เรื่องโกสต์ ซึ่งมีฉากคลาสสิกอย่างฉากปั้นหม้อกับเดมี มัวร์ ก็เป็นอีกคนที่ถูกโรคมะเร็งคร่าชีวิต ขณะมีอายุได้ 57 ปี

 สเวย์ซีเพิ่งจะพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งตับอ่อนเมื่อเดือนมกราคม ปีที่แล้ว ซึ่งถึงตอนนั้นอาการก็ลุกลามในระยะที่ 4 แล้ว แต่ในเดือนมีนาคม ปีที่แล้ว สเวย์ซีก็ยังอุตส่าห์แข็งใจรับเล่นละครซีรีส์แนวสืบสวนสอบสวนเรื่อง "เดอะ บีสต์" ที่ออกอากาศเมื่อต้นปีนี้ มีคนดูมากถึง 1.3 ล้านคน ก่อนจะมาเสียชีวิตในช่วงกลางเดือนกันยายน

 แพทริค สเวย์ซี เป็นหนุ่มเทกซัส เขาโด่งดังจากบทบาทนักเต้นในหนังเรื่องเดอร์ตี้ แดนซิง หนังทุนต่ำที่กลายเป็นอมตะได้รับทั้งเงิน และกล่อง ก่อนจะมาดังเป็นพลุแตกจากหนังรักโรแมนติกเรื่องโกสต์ที่ออกฉายในปี 2533 ซึ่งเขารับบทเป็นชายหนุ่มที่ตายอย่างกะทันหัน และพยายามติดต่อกับคนรักผ่านความช่วยเหลือของคนทรงที่รับบทโดยวูปี้ โกลเบิร์ก
 
เดวิด คาร์ราดีน

 การเสียชีวิตของเดวิด คาร์ราดีน ดาราฮอลลีวู้ดวัย 72 ปี ผู้รับบท "บิล" หัวหน้าเหล่าร้ายในหนังเรื่อง "คิล บิล" ของผู้กำกับดัง เควนติน ตารันติโน กลายเป็นข่าวฮือฮา เพราะนอกจากจะมาเสียชีวิตในบ้านเราแล้ว สาเหตุของการตายยังเป็นปริศนา มีข่าวลือว่า คาร์ราดีนอาจถูกมาเฟียสังหาร เพราะไปรู้ความลับบางอย่างของแก๊งอั้งยี่เข้า

 แต่กระแสข่าวที่มีน้ำหนักที่สุด คือ คาร์ราดีนตายในลักษณะที่เรียกว่า "ออโต้อีโรติก" หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยการทำให้สมองขาดออกซิเจนเพื่อเพิ่มความพึงพอใจด้านเพศรส ขณะที่ดารากังฟูผู้นี้ถูกพบในสภาพมีเชือกผ้าม่านผูกคอ เปลือยกายคุดคู้อยู่ในตู้เสื้อผ้าภายในโรงแรมปาร์คนายเลิศ ถนนวิทยุ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ซึ่งผลการชันสูตรพบว่า คาร์ราดีนน่าจะใช้เชือกรองเท้ามัดอวัยวะเพศแล้วโยงไปรัดคอ และไม่พบร่องรอยการต่อสู้แต่อย่างใด

สมาชิกบอยโซน

 สตีเฟน เกตลีย์ สมาชิกวงบอยโซน บอยแบนด์ชื่อดังจากไอริช วัย 33 ปี เป็นนักร้องอีกคนที่เสียชีวิตในปีนี้จากอาการปอดบวมน้ำเฉียบพลัน โดยไม่เกี่ยวข้องกับการดื่มเหล้าหรือใช้สารเสพติด มีคนพบศพของเขาที่อพาร์ตเมนต์บนเกาะมาร์ยอกา ซึ่งเกตส์ไปพักผ่อนกับแอนดรู โคลส์ สามี ที่แต่งงานกันเมื่อปี 2549

 วงบอยโซนประจำความสำเร็จเป็นอย่างมาก ขายซิงเกิลได้หลายล้านแผ่นเฉพาะในอังกฤษ ก่อนจะแยกวงกันเมื่อปี 2543 เมื่อปี 2550 พวกเขาได้กลับมารวมวงกันอีกครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนเก่า

ไทเกอร์ วู้ดส์

 ดาว (เกือบ) ดับอีกดวงในปีนี้คือ ไทเกอร์ วู้ดส์ นักกอล์ฟมือ 1 เจ้าของตำแหน่งผู้ทรงอิทธิพลอันดับต้น ๆ ของโลกติดต่อกันหลายปี แต่อาชีพและชื่อเสียงที่สั่งสมมานานเกือบจะต้องย่อยยับเพราะความเจ้าชู้ของตัวเอง

 ความเจ้าชู้ของวู้ดส์แดงขึ้นเมื่อนักกอล์ฟมือ 1 ขับรถไปชนหัวท่อดับเพลิง และต้นไม้แถวบ้านเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน หลังเกิดเหตุ วู้ดส์เก็บตัวเงียบอยู่นานหลายวันท่ามกลางข่าวลือว่าอาการสาหัสบ้าง ปากแตกบ้าง และทะเลาะกับเมียอย่างหนักเรื่องที่มีกิ๊กบ้าง จนทำให้สื่อพากันขุดคุ้ยจนพบว่า วู้ดส์มีกิ๊กร่วม 15 คนเลยทีเดียว

 ข่าวฉาวแบบนี้ทำให้สินค้าหลายตัวพากันถอนวู้ดส์จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์ ด้านเจ้าตัวเองก็ประกาศว่าขอหยุดเล่นกอล์ฟโดยไม่มีกำหนด เพื่อทุ่มเทเวลาให้การเป็นสามี และพ่อที่ดี ทั้งยังยอมรับว่านอกใจภรรยาจริงด้วย

 ล่าสุด อีลิน นอร์เดเกรน ภรรยาชาวสวีดิชของวู้ดส์ ยังไม่ได้ขอหย่า เพราะเป็นห่วงลูกทั้งสองคน คือ แซม ลูกสาววัย 2 ขวบ และชาร์ลี ลูกชายวัยเพียง 10 เดือน แม้ว่าหย่าแล้วจะได้เงินสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,300 ล้านบาท) เลยทีเดียว

 แต่ก็มีรายงานว่า ทั้งคู่แยกกันไปพักผ่อนช่วงคริสต์มาส มีคนพบเมียของวู้ดส์พร้อมกับลูกอยู่ที่สวีเดน ในขณะที่วู้ดส์นั้นล่องเรือยอชท์ไปบาฮามาส

บริททานี เมอร์ฟี

 ดาวดวงที่ดับส่งท้ายปี คือ บริททานี เมอร์ฟี นักแสดงสาวฝีมือดีของฮอลลีวู้ด ที่จากไปด้วยวัยเพียง 32 ปีเท่านั้น

 บริททานี ซึ่งโด่งดังมาจากภาพยนตร์เรื่อง 8 ไมล์, อัพ ทาวน์ เกิร์ล, ไรดิง อิน คาร์ วิธ บอยส์ หัวใจวายขณะอาบน้ำอยู่ในบ้าน ซึ่งผลการชันสูตรเบื้องต้นชี้ว่า เธอเสียชีวิตด้วยสาเหตุธรรมชาติ แม้ว่าการเสียชีวิตของคนวัยสาวในลักษณะนี้จะไม่ค่อยพบบ่อยนักก็ตาม

 ขณะนี้ตำรวจกำลังตรวจสอบประวัติทางการแพทย์ของบริททานีอยู่ เพราะมีรายงานข่าวว่าเธอป่วยด้วยอาการคล้ายไข้หวัดในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้าที่จะเสียชีวิต แถมยังอาเจียน และบอกกับคนใกล้ชิดว่ารู้สึกไม่ค่อยดีด้วย

 แหล่งข่าววงในเผยว่า ตำรวจพบยาที่ต้องซื้อโดยมีใบสั่งแพทย์อยู่หลายขนานในบ้านของบริททานี ทำให้กลายเป็นประเด็นขึ้นมาว่า ดาราสาวสวยคนนี้จะเสียชีวิตเพราะยาอีกคนหนึ่งหรือไม่

 ในทางกลับกัน เมื่อมีดาวร่วงแล้วก็ย่อมมีดาวรุ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในปี 2552 นี้ ดวงดาวที่สุกสกาวพราวฟ้าบันเทิงเป็นผู้หญิง แถมยังเป็นนักร้องทั้ง 2 คนด้วย นั่นคือ ซูซาน บอยล์ และเลดี้ กาก้า

ซูซาน บอยล์

 ซูซาน บอยล์ เข้าร่วมการประกวดแข่งขันร้องเพลง "บริเทนส์ ก็อต ทาเลนท์" ของอังกฤษ ในเดือนเมษายน วินาทีที่เธอปรากฏตัวบนเวที ทั้งผู้ชม และคณะกรรมการต่างพากันปรามาสหญิงวัย 47 ปีจากเมืองแบล็คเบิร์นคนนี้ ด้วยความที่ซูซานเป็นหญิงร่างเตี้ย หน้าตา "ป้าๆ" แต่งตัวแสนเชย แถมยังเจ้าเนื้อ เรียกได้ว่าแหกกฎการเป็นเซเลบทุกกฎที่มีอยู่

 แต่พอซูซานอ้าปากขับขานบทเพลง "ไอ ดรีมด์ อะ ดรีม" ออกมาเท่านั้น ทุกคนในห้องส่งต่างพากันโห่ร้องเสียงดังลั่น บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาเมื่อได้ยินเสียงที่ไพเราะราวกับทูตสวรรค์ของเธอ พอซูซานร้องเพลงจบ คนในห้องส่งพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนปรบมือเพื่อเป็นเกียรติให้แก่เธอ และเมื่อคลิปการประกวดดังกล่าวถูกนำออกเผยแพร่ทางยูทูบ สาวโสดจากสกอตแลนด์ที่อาศัยอยู่กับแมวคนนี้ก็กลายเป็นคนดังระดับโลกในชั่วข้ามคืน

 เพียงแค่สัปดาห์เดียวหลังจากที่คลิปถูกนำไปลงทางยูทูบก็มีคนเข้ามาคลิปของเธอถึงกว่า 4,300 ล้านครั้ง ซูซานได้รับการพูดถึงจากสื่อทั่วโลก

 แม้ว่าซูซานจะไม่ชนะการแข่งขันครั้งนี้ แต่เธอกลับดังระเบิดยิ่งกว่าผู้ชนะ ซูซานถูกค่ายเพลงชื่อดังจับทำสัญญา ซึ่งอัลบั้ม "ไอ ดรีมด์ อะ ดรีม" ของเธอติดอันดับ 1 บนบิลบอร์ดชาร์ต โดยทำยอดขายทะลุ 2.5 ล้านแผ่น ในสหรัฐแล้ว ส่วนที่บ้านเกิดนั้น ซูซานก็สร้างสถิติอัลบั้มเปิดตัวที่ขายได้เร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยยอดขายถึง 411,820 แผ่น ในสัปดาห์แรกเท่านั้น และขายได้ 1.4 ล้านแผ่นแล้ว

เลดี้ กาก้า

 ดาวรุ่งดวงที่ 2 เป็นนักร้องสาวชาวอเมริกันที่ไม่ได้โด่งดังเฉพาะตัวเพลงเท่านั้น แต่การแต่งตัวหลุดโลก และพฤติการณ์แสบซ่าก็เป็นองค์ประกอบที่ทำให้เลดี้ กาก้าดังทะลุโลก แม้แต่คนที่ไม่ได้ฟังเพลงสากลยังรู้จักเธอคนนี้

 สมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ ก็เป็นแฟนนักร้องสาวซ่าคนนี้ ถึงขั้นทรงให้เลดี้ กาก้า เข้าร่วมร้องเพลงในงานปาร์ตี้ของราชวงศ์ด้วย เล่นเอาหลายคนพากันหวาดเสียวว่าเธอจะแต่งตัวมางานนี้ยังไง แต่เลดี้ กาก้า ก็รู้กาลเทศะ แม้จะมาจากประเทศเสรีอย่างอเมริกา ที่ไม่ได้ปกครองระบอบกษัตริย์ โดยเลือกสวมชุดราตรียาวกรอมเท้า แขนยาว คอปิด แต่ไปเพิ่มความแปลกแบบเลดี้ กาก้า ตรงเลือกใช้ผ้าพีวีซีแวววับสีแดงสด และทาตาเป็นปื้นหนาสีเดียวกันประดับเพชร

 ตลอดปี 2552 ชื่อของเลดี้ กาก้า กลายเป็นป๊อปสตาร์ที่มีคนเสิร์ชหาข้อมูลมากที่สุดรองจากบริทนีย์ สเปียร์ส และมีแนวโน้มว่าจะแซงหน้าในอีกไม่ช้า แฟชั่นแรงๆ ของเลดี้ กาก้า ก็มีตั้งแต่การทำผมทรงมิกกี้เมาส์ ทรงกระดุม สวมชุดแนบเนื้อที่โป๊พอๆ กับชุดว่ายน้ำออกไปเดินตามท้องถนน ใส่หน้ากากปิดหน้าปิดตาจนมองไม่เห็น สวมชุดดีไซน์สุดพิลึกอย่างชุดกบเคอร์มิท ชุดดาวเสาร์ไปออกทีวี หรือถือถ้วยน้ำชาพร้อมจานรองไปไหนมาไหนด้วย

 ความแซบเหล่านี้นี่เองที่ทำให้นิตยสารพีเพิลยกให้เลดี้ กาก้า เป็น The Shock Star ประจำปี 2552