
สลัดภาพหัวโจกโลกใบใหม่ของว่าที่คุณพ่อเต๋าสมชาย
หากเอ่ยชื่อ เต๋า สมชาย เข็มกลัด หลายคนคงต้องจำภาพหนุ่มคนหนึ่งยืนมือไมค์ร้องเพลง ด้วยลีลากวนๆ สร้างความสนุกสนานให้แก่แฟนๆ รวมไปถึงงานแสดงที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทว่าอีกมุมหนึ่ง ชื่อเสียงของเขาถูกมองในแง่ลบอย่างต่อเนื่อง หลังกลายเป็นข่าวขึ้นหน้า 1
ว่าที่คุณพ่อมือใหม่
รู้สึกอย่างไรกับการเป็นว่าที่คุณพ่อ
ดี...ผมว่าเป็นอีกหนึ่งมุม บางอย่างคนเราต้องสัมผัสเอง ผมไม่สามารถพูดได้หมด มันเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ คือผมอยู่กับภรรยาทุกวัน แล้วผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เริ่มแรก แล้วอีกไม่กี่เดือนก็จะคลอด ตอนที่ผมเห็นเพื่อน เห็นคนอื่นที่เขามีลูกในทีวี ผมก็ยังไม่เข้าใจได้ชัดเท่ากับตัวเราเอง
ตื่นเต้นไหม
ผมว่าความตื่นเต้นมาควบคู่กันอยู่แล้ว เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเวลาคนสองคน เมื่อได้มาผสมผสาน แล้วลูกจะออกมาหน้าตาเป็นยังไง ผมยอมรับอย่างหนึ่งว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากของโลกใบนี้ บางคนอยากสัมผัสแต่ไม่มีโอกาส บางคนสัมผัสแล้วสัมผัสอีก ผมเชื่ออย่างหนึ่ง ว่าสัญชาตญาณของมนุษย์มีตลอดเวลา
คำว่า "พ่อ" หลายคนบอกว่ายิ่งใหญ่มาก
ถ้าถามผม ผมว่าคำทุกคำยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะคำว่าครอบครัวมันยิ่งใหญ่ คำว่าพ่อ คำว่าแม่ คำว่าลูก ผมว่าทุกๆ คำ มันมีความหมายในตัวของมัน มันมีความยิ่งใหญ่ เรามีวันพ่อ ยังมีวันแม่ แล้วก็ยังมีวันเด็ก มันสำคัญหมด นอกจากคนบางคนจะมีอุดมการณ์อีกแบบ ที่เขาอยากจะอยู่คนเดียว อยู่กันแบบสองคนสามีภรรยา โดยไม่มีลูก คนหนึ่งตั้งกฎเกณฑ์ ว่าต้องมีลูกคนเดียว เพื่อทุ่มทุกอย่างให้แก่ลูก บางคนมีสองคน เพื่อดูแลซึ่งกันและกัน คือทุกคนมีอุดมการณ์ที่แตกต่าง ในโลกนี้ไม่มีคำจำกัดความหรอก เหรียญยังมีสองด้าน ทุกคนก็มีมุมมองแตกต่างกันไป
กำลังจะเป็นคุณพ่อเต็มตัวแบบนี้ วางแผนอนาคตให้ลูกไว้หรือยัง
คือตอนนี้เราทำตรงนี้ เราต้องยอมรับอย่างหนึ่ง ว่าด้วยพื้นฐานของประเทศ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม การเมือง ผมเชื่อว่าเรามองอะไรไกลๆ ได้ แต่ถ้าเราคิด ว่าวันนี้เราจะทำอะไร พรุ่งนี้เราจะกินอะไร ผมว่าแค่นี้ก่อน ถ้าการที่ไปไกลสัก 10 ปี ผมเป็นคนคิดเยอะ คิดทุกวัน ทุกวินาที ทุกชั่วโมง ผมรู้สึกว่ายิ่งปวดหัว แล้วยิ่งคิดเยอะแล้วยิ่งแก่ (หัวเราะ)
เป็นห่วงลูกที่ต้องเจอกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวันไหม
มันไม่น่ากลัวหรอก ผมเชื่อว่าอะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด บางทีผมบอกกับภรรยา ว่าผมรู้สึกเหนื่อยกับชีวิต แต่โชคดีที่ผมไม่ต้องแบกอะไรเยอะ คือเอาคิดแค่วันนี้ เราจะต้องทำอะไร ผมคิดเป็นวันๆ ไป ผมชอบคำนวณสิ่งที่มันจะเกิดในอนาคต แล้วผมก็หล่น ในภาษาผมเรียกแบบนี้นะ คือมันบอกไม่ถูก คนเรามันคิดเยอะ คิดถึงอนาคต คิดถึงตัวเอง คิดถึงครอบครัว คิดถึงภรรยา คิดถึงลูก คิดถึงรอบข้าง มันกลายเป็นบั่นทอนความรู้สึกของเราเอง ผมก็เลยปรึกษากับรุ่นพี่ผม เขาก็บอกว่ามันเป็นเรื่องที่เราคิดมากไป
จะสอนลูกอย่างไร
คือต้องสอนพื้นฐานทางด้านจิตใจ คนเราต้องมีพื้นฐานทางด้านจิตใจ คนเราจะเป็นยังไงก็ตาม จะออกทางซ้ายทางขวา มันจะต้องมีแกนนำของชีวิต คุณจะเดินซ้ายเดินขวา จะล้ม จะโดนกระทืบจมดิน หรือยังไงก็ตาม ชีวิตมันต้องเดินต่อ ถ้าคุณเหนื่อยคุณก็พัก คุณเจ็บก็รอให้ตัวเองหายเจ็บ ถ้าวันนั้นคุณบอกว่าแพ้ ความเป็นมนุษย์มันจะหายไปทันที
ผ่านชีวิตโชกโชนมาแบบนี้ จะเล่าประสบการณ์ให้ลูกฟังไหม
เดี๋ยวให้เขาหาข้อมูลจากกูเกิลดูก็ได้ ไม่เป็นไร (หัวเราะ) ผมมีกูเกิล คือคนรอบข้างไม่ต้องบอก เพราะผมมีกูเกิล สิ่งที่ผมจะให้เขาเรื่องแรก คือ พื้นฐานทางด้านจิตใจ
ถ้าลูกเป็นผู้หญิงหลายคนคิดว่าเต๋าน่าจะเป็นคุณพ่อที่ห่วงลูกสาวมาก
ไม่ว่าลูกจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย หรือลูกจะเป็นอะไรก็ตาม จะครึ่งหญิงหรือครึ่งชาย อย่างหนึ่งคือ ขอให้พื้นฐานจิตใจเขาเป็นคนดี อยากให้ชีวิตเขาเซฟ เสี่ยงนิดๆ ก็พอ มันดูมีอะไรในชีวิต แต่ไม่อยากให้เสี่ยงเยอะๆ แบบผม เพราะผมรู้สึกว่าบางทีมันเหนื่อย ผมเหนื่อยแล้ว ก็ไม่อยากให้ลูกผมเหนื่อย ให้ลูกผมเหนื่อยเป็นบางอย่างที่ควรจะมี คนเราเหนื่อยกายได้ แต่เหนื่อยใจมันทรมานนะ หรือเราเหนื่อยใจมากๆ บางทีเรามองว่าตายไปได้ซะก็ดี แต่นี่มันไม่ตาย มันจะเหมือนตายทั้งเป็น ก็อยากให้ชีวิตเขาเซฟ แต่ติดเสี่ยงนิดๆ ให้มันเป็นประสบการณ์ชีวิต ถ้าเขาเหนื่อยมาก จะเหมือนผม มันไม่ดีหรอก...
หลายคนอยากรู้ว่าคุณพ่อหรือชีวิตครอบครัวที่ผ่านมาของเต๋าเป็นอย่างไร
มันเป็นอดีต เก็บมันไว้ในสมอง ในความทรงจำ ผมเก็บมันมาทั้งสองด้าน ทั้งด้านดีและด้านร้าย ด้านร้ายเก็บเป็นประสบการณ์ชีวิต ด้านดีก็เก็บไว้ให้ดีขึ้นๆ ไป แต่การชั่งน้ำหนัก ดีกับเลว ผมว่าดีมากกว่า ก็ไม่เป็นไร ภูมิใจ
ชีวิตและตัวตนที่เปลี่ยนไป
หลายคนบอกว่าเต๋าแต่งงานมีครอบครัว มีลูก ชีวิตเปลี่ยนไป ดูนิ่งๆ และสุขุม
สิ่งที่มันเกิดขึ้นในบางด้าน ผมถือว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น เราไม่สามารถจะห้ามมันได้ มันผ่านไปแล้ว เราก็ต้องผ่านมันต่อไปให้ได้ เคยอยู่ยังไงก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ ณ วันนี้ผมอยู่วงการมา 21 ปี ปีใหม่นี้ก็ครบ 22 ปี ถามว่านานไหม นาน...ผมก็ไม่คิดว่าจะหนีหรือจะทิ้งความรู้สึกตรงนั้นไป บางคนต้องใช้เวลากับบางสิ่งนาน เราอยู่ตรงนี้มานาน แล้วทำไมเราต้องลืมมันไป ทำลืมหรือไม่สนใจ ผมว่ามันเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย อะไรที่มันเกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งดีหรือไม่ดี ข่าวมันมีสองแบบอยู่แล้ว คือข่าวดีกับข่าวไม่ดี ก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ ใช้ชีวิตกับมันให้ได้
คนรอบข้างเห็นความเปลี่ยนของเต๋าไหม
ผมรู้สึกเฉยๆ กับชีวิต รู้สึกว่าบางโอกาสชีวิตอยู่นิ่งๆ บ้างก็ได้ คือผมก็จะมีโลกส่วนตัวของผมอีกแบบหนึ่ง แต่บางอย่างผมก็กระโดดมาพบเพื่อนฝูง เจอคนรอบข้าง ตอนนี้ผมกำลังจะอายุ 36 ปี เพราะเกิดวันที่ 26 มกราคมนี้ ผมเชื่อว่าผมใช้ชีวิตมาพอสมควร ผมถือว่าถ้าวันนี้ผมเป็นอะไรก็ไม่เสียดาย แต่อย่าเพิ่งเป็นดีกว่า เพราะผมยังไม่เห็นลูกผมโต ถ้าวันหนึ่งมีคนถามลูกผม ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ถ้าเขาตอบว่าอยากเป็นเหมือนพ่อ ผมคงรู้สึกดีใจ แต่เขาต้องตอบมาจากตัวเขาเอง ไม่ใช่เราสอนให้เขาพูด
ดูภายนอกไม่น่าจะเป็นคนคิดมาก
ใช่...นั่นคือตอนที่ผมได้นั่งคนเดียวนิ่งๆ โดยไม่เจอใคร หรือเห็นใคร ไม่ได้พูดคุยกับใคร ปิดโทรศัพท์ จริงๆ ทุกวันนี้ผมอยากปิดโทรศัพท์มาก ผมรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นกับชีวิตผม แต่มันทำไม่ได้ ยิ่งคนมีครอบครัว ยิ่งทำไม่ได้
แสดงว่าเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงมาก
ทุกคนมี การที่ผมอยู่เชียงใหม่มา 3 ปี มีคนบอกว่าผมออกจากวงการ ผมไม่เคยคิดออกจากวงการ ผมรักและเคารพในอาชีพของผม ผมศรัทธาและเทิดทูน ชื่นชมในตัวเอง ผมคงอยู่ในวงการนี้จนตาย บางโอกาสเราแค่พักผ่อน แต่มันถึงเวลาต้องกลับก็ต้องกลับ การใช้ชีวิตในวงการก็เปลี่ยนไป สังคมในวงการก็เปลี่ยนไป ผมก็ศึกษามาตลอด แต่ผมชอบคิดอะไรเอง แล้ววันหนึ่งผมก็ฉุกคิด หวนคิด มันจะปิ๊งเข้ามาว่า ฉันจะต้องทำอะไรแล้ว ณ วันนี้ ตอนที่ผมหายไป 3 ปี ผมก็บอกตัวเองว่านานไปแหละ คงต้องกลับ
กับ 3 ปี ที่หายไป ทำให้เราคิดอะไรได้เยอะหรือเปล่า
จริงๆ มันไม่เกี่ยวกับเวลา 3 ปี ทำให้เราคิดได้เยอะ เพราะเราเป็นคนคิดทุกวันอยู่แล้ว แต่กลับมาคราวนี้ ทำให้ผมถอดความคิดของผมออกไปเยอะ พอผมกลับมา มันมีงานช่อง 3 แตะฟุตบอล ผมก็บอกตัวเองว่าต้องกลับมาแล้วนะ ถ้าผมไม่กลับมาตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะมาตอนไหน ผมก็บอกไปทางพี่อาร์ม (วิบูลย์ ลีรัตนขจร) บอกทางนาย (ประวิทย์ มาลีนนท์) พี่สมรักษ์ ณรงค์วิชัย ยังไม่ได้มาทำงานนะ แต่มาเตะบอล ผมภูมิใจนะที่ได้เจอเพื่อนๆ เจอพี่ๆ
ถ้าย้อนเวลาได้ อยากแก้ไขอะไรในอดีตบางไหม
ไม่แก้...ทำไมต้องแก้ เราทำวันนี้กับพรุ่งนี้ให้ดีที่สุดดีกว่า มันแก้ไม่ได้ แต่เอาอดีตมาแก้ปัจจุบันได้ ผมเคยปรึกษาจิตแพทย์ ผมใช้เวลาเกือบ 6 เดือน ผมรู้สึกว่าถ้าผมอยู่แบบนี้ ผมจะเป็นโรคประสาท ผมอาจจะทำอะไร โดยไม่คิดก็ได้ และอาจจะเกิดขึ้นก็ได้ ด้วยสมองไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ มันเกิดจากสมองหลั่งสารเคมีผิดประเภท ทำให้สมองควบคุมการสั่งการร่างกายไม่ได้ มันเป็นหลักสูตรทางการแพทย์ ผมก็เลยบำบัดทางจิต สาเหตุที่เป็นมาจาก ข้อ 1.ครอบครัว 2.เก็บกด 3.กดดัน 4.บีดคั้น คาดคั้น คือคนคนหนึ่งยืนอยู่ในโลกคนเดียว ต้องรับอะไรต่างๆ มันจะสะสม ซึ่งมันระเบิดขึ้นได้อยู่แล้ว มันเหมือนระเบิดสั้นจุดก็ติดเลย
ณ ตอนนี้ยังต้องปรึกษาจิตแพทย์อยู่ไหม
ต้องค่อยๆ ปรับ ก็โทรคุย ถ้ามีอะไรที่มันตึงเครียด จะโทรคุย ผมก็จะผ่อนคลาย ต้องจำไว้อย่าง นักธุรกิจ ทนายความ ผู้พิพากษา หมอจิตแพทย์ด้วยกันยังต้องหาหมอจิตแพทย์ด้วยกันเลย คนที่อยู่ในอาชีพต่างๆ ที่อยู่ในความเครียด ทุกคนมีหมด
วิธีบำบัดของคุณหมอ
ของผมอย่างแรก ผมต้องอยู่ห่างจากสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ผมกดดัน โดยส่วนตัวผมเครียดก็จะไปวิ่ง ออกกำลังกายให้เหงื่อออก มันก็จะคลาย แล้วในช่วงที่บำบัดอยู่ เรื่องแอลกอฮอล์เรื่องอะไรที่บั่นทอนชีวิต จิตใจ และสุขภาพต้องงด
คุณหมอได้บอกไหมว่าวิธีรักษาแบบนี้จะหาย
พอวันหนึ่งต้องเปลี่ยนกระบวนการคิดใหม่ เมื่อก่อนเราแอนตี้สังคม หมายถึงพาล อะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด ซึ่งมันก็จริง ดูหงุดหงิด เหมือนปีหนึ่งผมไม่กินอะไรเลย กินแต่กะเพราไก่ ไข่ดาว กินทุกวัน กินเป็นปี แต่ตอนนี้ดีขึ้น ตอนนี้ถ้าคุณแม่ผมได้ยิน ว่าผมจะกินกะเพรา เขาจะน้ำตาคลอ ร้องไห้เลย คือที่ผมเป็นคือกึ่งๆ ทางจิต ถ้าก้าวไปก็เป็นโรคประสาท จากโรคประสาทก็เป็นบ้า นี่คือคุณหมอบอก เป็นปีๆ ที่ผมไม่อยากยิ้ม ก็ไม่มีอะไรให้ยิ้ม ทำไมต้องยิ้มล่ะ มันมีเหตุและผลที่จะขวางโลก แต่พอเริ่มเปลี่ยนใหม่กับคำว่าแอนตี้สังคม มันก็กลายเป็นคำว่า ไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ
งานในวงการบันเทิง
กลับมาทำงานในวงการบันเทิงแบบเต็มตัว
ตอนที่ผมกลับมา มันเหมือนมีอะไรดลใจ การใช้ชีวิตมันไม่มีคำว่าสาย ผมเชื่อว่ามีคำว่าหมดเวลา แต่ของผมเนี่ยเกือบหมด ถ้าผมก้าวข้ามเส้นบางๆ เส้นนี้ไป ผมเชื่อว่าผมคงไปยาว ผมคงไปไกล เพราะผมเป็นคนจะทำอะไรต้องไปให้สุด ผมก็ไม่รู้ว่า 1 ปี 2 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี มันจะนานขนาดไหน มันตอบไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่า เอาว่ะ...ทำอะไรมันต้องถึง ก็เดินหันหลังกลับมามองวงการที่เราอยู่ ก็เลยคิดว่า อืม...กลับก็ได้ ผมก็เลยรู้สึกว่าแหม...เกือบสายไปซะแล้ว ถ้าไปยาวไป คนแค่จำได้ แต่อาจจะลืมว่าผมเคยทำอะไรไว้บ้าง
ฤๅจะหมดเวลากับฉายา เต๋า หัวโจก...
ชื่อ สมชาย เข็มกลัด
ชื่อเล่น เต๋า
เกิดวันที่ 26 มกราคม 2517
การศึกษา ปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
ผลงานละครเรื่องแรก นางฟ้าสีรุ้ง
ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรก สะแด่วแห้ว
ผลงานเพลงอัลบั้มแรก เต๋า หัวโจก
ผลงานละครที่ผ่านมา เวลาในขวดแก้ว น้ำใสใจจริง ข้าวเปลือก เกาะสวาท หาดสวรรค์ ฯลฯ
ผลงานภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียง โลกทั้งใบให้นายคนเดียว
เรื่อง... "พ็ญนภา ดำเล็ก"
ภาพ... "วริศรา วุฒิกุล"