บันเทิง

ทำไมหนังอินเดีย-หนังยุโรป
หมดสิทธิ์ฮิตแบบฮอลลีวู้ด

ทำไมหนังอินเดีย-หนังยุโรป หมดสิทธิ์ฮิตแบบฮอลลีวู้ด

06 มี.ค. 2552

ราวๆ สัก 5 ปีก่อน มีเรื่องเล่าในนิตยสาร Nylon ว่า มีคนอเมริกันเข้าไปในภัตตาคาร แล้วถามบริกรว่า "วันนี้มีอะไรใหม่ๆ มากินบ้าง" พนักงานบอกว่า มีเมนูชื่อ "มาฮิมาฮิ" คนอเมริกันเลยสั่งไป 5 ที่โดยไม่รู้ว่า ไอ้มาฮิมาฮิเนี่ย มันคืออะไร (ฮา)

   นี่เป็นเรื่องอำกันมา เพื่อจะบอกว่า พวกอเมริกันเห่อของใหม่ และทางภัตตาคารร้านอาหารก็ "เล่นเป็น" ด้วยการทำอาหารเก่า (นั่นแหละ) แล้วตั้ง "ชื่อใหม่" ซะ

 เรื่องแบบนี้ไม่ได้เพิ่งมีนะครับ แต่มีมานานแล้วเป็นร้อยๆ ปี สถาบันที่ทำแบบนี้เก่งมากก็คือ "ฮอลลีวู้ด" ดินแดนที่ผลิตหนังออกมาป้อนให้คนทั้งโลกกิน (ดู) ตลอดทั้งปี ถามว่า อะไรทำให้ฮอลลีวู้ดอยู่ยืนยาวในความนิยมมานานขนาดนี้

 ตอบได้ว่ามันมีองค์ประกอบเยอะ แต่หนึ่งในนั้นก็คือ การรู้ว่าคนดูอยากดูอะไร ผู้ชมอยากเห็นอะไรในหนัง นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมปี 1993 สตีเวน สปีลเบิร์ก ถึงทำให้โลกอ้าปากค้างคาที่นั่ง ด้วยภาพไดโนเสาร์ยักษ์เต็มจอ หรือปี 1978 ทำไมคนทั้งโลกไม่กล้าลงทะเล หลังจากไปดูหนังเรื่อง Jaws

 แต่ที่ชัดที่สุดก็คือ จักรยานที่บินขึ้นไปบนท้องฟ้าของอีทีกับสาวน้อย ซึ่งที่ต้องบินได้ เพราะอารมณ์คนดูอยากให้บินแล้ว พอบิน คนดูก็สมหวัง (ภาษาหนังเขาเรียกว่า spectacle)

 ถามต่อว่า แล้วการที่หนังเกี่ยวกับอินเดียอย่าง Slumdog คว้าออสการ์ปีนี้นั้น เมื่อมีใครต่อใครพูดว่า หนังอินเดียจะมาแรงในปีนี้นั้น มันจะเป็นไปได้แค่ไหน

 ผมตอบแบบส่วนตัวเลยว่า "ไม่มีทาง" และ "เป็นไปไม่ได้" ใครพูดว่าหนังอินเดียจะครองโลก ก็เหมือนคุณพูดว่า "วีแกน" จะคว้าแชมป์ลีก

 อันนี้ออกตัวก่อนว่า ไม่ได้เกี่ยวหรือหมายความว่า หนังอินเดียไม่ดี ตรงกันข้าม หนังอินเดียดีครับ และมีคุณค่าในแบบของเขา (แถมยังสร้างออกมามากเป็นอันดับ 2 ของโลกทุกปี)

 แต่ที่แย้งว่า พอหนัง (เกี่ยวกับ) อินเดียอย่าง Slumdog ได้ออสการ์ปีนี้ และจะครองโลกหรือฮิตนั้น ขอเถียงสุดตัวด้วยเหตุผล 3 ข้อ (ซึ่งทุกคนสามารถเห็นแย้งได้ตามหลักประชาธิปไตย ที่อดีตผู้นำหนีภาษีได้)

 ข้อแรก, Slumdog ไม่ใช่หนังอินเดีย แต่เป็นหนังที่เกี่ยวกับอินเดีย โดยคนทำก็เป็นยุโรปตะวันตก ผู้กำกับเป็นสกอตแลนด์ ทุนมาจากฝรั่งเศส-อังกฤษ (ถ้าจำไม่ผิด) ฉะนั้น ถ้าเราจะพูดว่า นี่คือหนังอินเดียแท้ๆ ก็ผิดถนัด เพราะมันคือหนังอินเดียที่ทำโดยฝรั่ง เหมือน "คานธี" ปี 1982 ที่กำกับโดยคนอังกฤษ

 ประการต่อมา, ถ้าคุณเคยดูหนังอินเดียจริงๆ เขาจะมีขนบธรรมเนียมในเชิงแบบแผนนิยม (Convention) เวลาเล่าเรื่องเดินเรื่อง บทพูดจะเยอะมาก ประเด็นเคลื่อนตัวช้า เพราะขายเพลงและสไตล์ของเขา ความยาวของหนังก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ชัดเจน

 สิ่งเหล่านี้ไม่ผิดแน่นอน เพราะสไตล์ใครสไตล์มัน แต่หลายครั้ง หนังหลายประเทศในโลกนี้ แม้จะบูมแค่ไหนในบ้านตัวเอง ก็ออกไปสร้างตลาดในต่างแดนยาก หนังอินเดียก็คือตัวอย่างนี้ที่ไม่ต่างจาก "หนังเกาหลี" ใน "อเมริกา"

 อีกวัฒนธรรมหนึ่งที่ช่วยเน้นย้ำยืนยันด้วยอีกทางก็คือ "หนังยุโรป" ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว มีคุณค่าทางศิลปะ มีคุณภาพสูงสุด แต่ในแง่ของอุตสาหกรรมแล้ว ก็ยังถูกฮอลลีวู้ดทิ้งห่างทางตัวเลขอยู่หลายช่วงตัว

 นั่นก็เพราะสิ่งที่เรากำลังพูดถึง หนังของใคร ก็มีกำแพง มีขนบธรรมเนียม มีความคุ้นเคยในแบบของเขาเอง หนังยุโรปเล่าเรื่องช้า ฮอลลีวู้ดเล่าเรื่องเร็ว หนังยุโรปเน้นอารมณ์ความรู้สึกตัวละคร จนบางทีไม่มีฉากพูดอยู่ 20 นาที แต่ฮอลลีวู้ด พูด พูด และพูด

 ข้อสุดท้าย, ถามว่าแล้วทำไมหนังเกาหลีจึงบูมในบ้านเรา ฮอลลีวู้ดจึงบูมในบ้านเราได้ ทำไมหนังอินเดียกับหนังยุโรป ไม่ได้ระเบิดเปรี้ยงปร้างในสังคมไทย

 คำตอบข้อนี้ตอบง่ายกว่าสองข้อแรกครับ มันเป็นเพราะวัฒนธรรมการเดินเรื่องของหนังเกาหลีและฮอลลีวู้ด มีความสอดคล้องกับละครน้ำเน่าทางทีวีและหนังไทยอยู่พอสมควร

 ถ้าหนังอินเดียหรือภาพยนตร์ยุโรปจะบูมนั้น มันบูมไปแล้วล่ะครับ เพราะก็สร้างออกมาถล่มทลายปริมาณทุกปี พูดแบบตลกก็คือ แม้ "นักการเมือง" จะเป็นข่าวนสพ.ทุกวัน แต่ก็ไม่มีเด็กคนไหนหรือใครตอบว่า หนูอยากโตไปเป็น "นักการเมือง"

 เพราะหนูๆ รู้ว่า คนชั่วๆ กับคนดีๆ บางทีนั้น ให้ดูที่ "อาชีพ"

"นันทขว้าง สิรสุนทร"