
Bloodlust & Indieอินดี้ร็อกแห่งแวมไพร์ ทไวไลท์
ในหน้าส่งท้ายของนิยายวัยทวีนชุด The Twilight Saga สเตเฟนี เมเยอร์ ผู้เขียนได้ขอบคุณ Muse วงดนตรีแนวอัลเทอร์เนทีฟ ร็อกสามชิ้นจากเกาะอังกฤษและเรียกพวกเขาว่า พระเจ้าแห่งเพลงร็อก เธอบอกว่าดนตรีของวงมิวส์ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและทำให้เธอเอาชนะช่วงเวลาที่เขีย
เห็นรายชื่อวงดนตรีที่สเตเฟนี เมเยอร์ไล่เรียงมาแล้วคงเดาได้ไม่ยากว่านักเขียนสัญชาติอเมริกันวัย 36 ปีคนนี้น่าจะเป็นแฟนเพลงอินดี้ ร็อกอยู่ไม่น้อย ไม่น่าแปลกใจที่ Alexandra Patsavas ผู้อยู่เบื้องหลังดนตรีประกอบภาพยนตร์แวมไพร์ ทไวไลท์ทั้งสองภาค คือ “แวมไพร์ ทไวไลท์” (2008) และ “นิว มูน” ภาคต่อจะโน้มน้าวและชักจูงวงอินดี้ร็อกทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่มาร่วมปาร์ตี้กระแสคลั่งแวมไพร์กระหายเลือดแห่งทศวรรษในซาวนด์แทร็ก “แวมไพร์ ทไวไลท์ 2 : นิว มูน”
ขณะที่เพลงประกอบในหนังภาคแรก “แวมไพร์ ทไวไลท์” จะเน้นสุ้มเสียงดนตรีร็อกที่มีจังหวะชัดเจนของกลองและติดหูได้ไม่ยากจากวงดนตรีที่เป็นที่ชื่นชอบในหมู่วัยทีนอยู่แล้วอย่าง Paramore, Linkin Park หรือ Collective Soul ในหนัง “นิว มูน” เราจะได้ยินหลายๆ เพลงที่ให้ความรู้สึกของร็อกที่นุ่มนวล ละมุนละไม และเนื้อดนตรี “เนียน” กว่า รวมทั้งให้อารมณ์นิ่งและความรู้สึกโหวงเหวงแบบไซคีเดลิกจากเสียงเครื่องสายซินเธไซเซอร์
“นิว มูน” เปิดด้วยเพลง Meet Me on The Equinox อินดี้ ร็อกสุดเลิฟจากวอชิงตันที่มีชื่อวงน่ารักอย่าง Death Cab for Cutie เพลงนี้เป็นเพลงที่พวกเขาเขียนขึ้นใหม่เพื่อประกอบหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ ด้วยเสียงกีตาร์อินโทรที่ไพเราะ จังหวะไม่ช้า ไม่เร็ว ประกอบเสียงร้องนุ่มเท่ของเบน กิบบาร์ด นักร้องนำและเนื้อร้องที่เข้ากับแนวคิดหลักของเรื่องที่ว่าด้วยโลกเหนือจริงและปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติในโลกที่มีแวมไพร์ มนุษย์หมาป่า และมนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกัน
นิค ฮาร์เมอร์ มือเบสของวงบอกกับนิตยสาร The Rolling Stone ว่าเพลงนี้เขียนขึ้นเพื่อบันทึกความรู้สึกของจุดเริ่มต้นและจุดจบของสรรพสิ่งที่ส่งผลต่อตัวละครใน “นิว มูน” Let our bodies interwine / but always understand / that everything, everything ends (Equinox หมายถึงปรากฏการณ์ที่แสงอาทิตย์ตั้งฉากกับเส้นศูนย์สูตรทำให้เกิดเวลากลางวันกับกลางคืนที่ยาวเท่ากัน) ซึ่งทางวงบอกอีกด้วยว่ารู้สึกดีใจที่ได้มีส่วนร่วมในการทำเพลงให้ “นิว มูน” เพราะพวกเขามีที่มาจากวอชิงตันเช่นเดียวกับฉากหลักในหนังสือและภาพยนตร์เรื่องนี้ (เมืองฟอร์กส์)
เสียงเพลงใน “นิว มูน” โดดเด่นด้วยกีตาร์ เครื่องสาย และเสียงร้องที่หวานเท่บิดออกจากความเป็นร็อกดุดัน แทร็กที่ถือว่าไพเราะมากอีกหนึ่งเพลงมาจากอินดี้ ร็อกอเมริกันเช่นกัน คือ A White Demon Love Song จาก The Killers ซึ่งเป็นเพลงที่เขียนขึ้นมาใหม่ อินโทรกรุ๊งกริ๊งประกอบกับเสียงร้องหลอนๆ ของแบรนดอน
ฟลาวเวอร์สเสริมด้วยกลองที่หนักแน่นผสมเครื่องสายซึ่งไม่ห่างไกลจากยี่ห้อความเป็นเดอะ คิลเลอร์ส รวมถึงเนื้อร้องที่กล่าวถึง “ปีศาจสีขาว” ทำให้เราอาจจินตนาการไปถึงความหลงใหลของเบลลา ตัวเอกที่มีต่อแวมไพร์เอ็ดเวิร์ดได้ไม่ยาก
Thom Yorke จาก The Radiohead อินดี้ ร็อกรุ่นเฮฟวี เวทมาร่วมแจมผลงานใน “นิว มูน” ด้วยกับเพลง Hearing Damage ที่หนักด้วยดนตรีอิเล็กทรอนิกและการใช้เพอร์คัชชั่นแบบคร่อมจังหวะ ให้ความรู้สึกแปลกหู นอกโลก และสร้างพื้นที่ความเป็นส่วนตัวให้แก่ผู้ฟังสูงกับท่อนฮุกที่ว่า “You can do no wrong in my eyes [เธอทำอะไรก็ไม่ผิดในสายตาของฉัน]”
Grizzly Bear วงดนตรีชั้นดีจากบรู้คลินที่นำซาวนด์หลอนๆ แบบไซคีเดลิค พ็อพมาทำงานกับ Victoria Legend ในเพลง Slow Life ส่วนผลงานจากวง Muse ย่อมถูกนำมาบรรจุอยู่ในอัลบั้มนี้ด้วยกับเพลง I Belong to You ซึ่งนำมาจาก The Resistance อัลบั้มล่าสุดของวงที่เพิ่งได้ฤกษ์วางแผงในเมืองไทยเมื่อสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เวอร์ชั่นที่นำมาใส่ใน “นิว มูน” เป็นเวอร์ชั่นที่เรียบเรียงขึ้นมาใหม่
โดยตัดส่วนที่เป็นโอเปร่าและท่อนเนื้อร้องภาษาฝรั่งเศสออกเพื่อความกระชับมากขึ้น (แนะนำให้ฟังเวอร์ชั่นเต็มใน The Resistance ซึ่งให้ความรู้สึก ‘แกรนด์’ กว่ามาก)
ร็อกอินดี้รุ่นน้องที่กำลังมาแรงอย่าง Band of Skulls มาพร้อมกีตาร์กับกลองเท่ๆ ในเพลง Friends จังหวะสนุก และโลกทัศน์ที่สดใสของวัยรุ่นซึ่งรอคอยที่จะได้พบกับความรักและความสนุกสนานในคืนวันศุกร์ หากใครได้อ่านหนังสืออาจจะเห็นว่าเพลงนี้น่าจะเหมาะกับฝูงหมาป่ามากๆ
อีกวงน้องใหม่ที่น่าจับตามองคือ Sea Wolf วงโฟล์กร็อกจากแอลเอ กับกีตาร์โฟล์ก และกลองที่ไม่ซับซ้อน และเสียงร้องนำที่มีสไตล์ให้ความรู้สึกอินดี้สุดๆ (ดนตรีและการร้องจะให้อารมณ์คล้ายๆ กับ Belle & Sebastian) แม้คำร้องจะติดเรตเซ็กซี่เล็กน้อย แต่ก็เป็นเพลงที่น่ารัก และทำให้เราโยกตัวตามจังหวะได้อย่างเพลินๆ
“นิว มูน” ปิดท้ายอัลบั้มด้วยบัลลาดเพราะๆ จาก Editors วงจากเกาะอังกฤษ ซึ่งนำเพลงเก่าของวงคือ No Sound but the Wind มามิกซ์ใหม่ ซึ่งแต่เดิมเพลงนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากนิยายเรื่อง The Road ของคอร์แมค แม็คคาร์ธี เมื่อข่าวที่วงจะร่วมแจมในอัลบั้ม “นิว มูน” ออกมา พวกเขาก็ถูกกระแสต่อต้านทไวไลท์โจมตี (เช่นเดียวกับ the Killers และ Death Cab) แต่ทางวงให้สัมภาษณ์ว่า พวกเขาไม่ได้ “จับกระแสความดัง” ของแวมไพร์ และมองว่าเป็นเกียรติที่จะได้มีผลงานเพลงเคียงคู่กับศิลปินคุณภาพอื่นๆ ในอัลบั้ม พวกเขาจึงตอบรับคำเชิญส่วนตัวของ Chris Weitz (ผู้กำกับ “นิว มูน”) และมาทำเพลงให้หนังเรื่องนี้
แทร็กอื่นๆ ที่น่าสนใจยังมีอีกมาก และน่าเสียดายหากเราจะไม่ลองหยิบอัลบั้มชิ้นนี้มาฟัง เพราะอาจเห็นว่าทไวไลท์เป็นแค่หนังเฉพาะกลุ่มเด็กสาวรุ่นทวีนและมี “Robward” (โรเบิร์ต แพททินสัน ผู้รับบทแวมไพร์เอ็ดเวิร์ด) เป็นจุดขาย เพราะ “นิว มูน” อัดแน่นไปด้วยดนตรีอินดี้ ร็อกคุณภาพที่นุ่มนวล และมีชั้นเชิง
ซาวนด์แทร็ก “แวมไพร์ ทไวไลท์ 2 : นิว มูน” มีขายแล้วตามร้านซีดีชั้นนำ ในอัลบั้มยังแถมโปสการ์ดนิว มูนขนาดเท่าปกซีดีสองใบให้แฟนๆ ได้เก็บสะสมด้วย
มนัสชื่น โกวาภิรัติ
หมายเหตุ : (สัปดาห์นี้ขอนำเสนอมุมมองในงานเขียนของ คอลัมนิสต์-นักแปล อย่างคุณ มนัสชื่น โกวาภิรัติ ซึ่งเป็นแฟนตัวยงของ Twilight และมีโอกาสได้ “ดูหนังฟังเพลง” ไปก่อนหน้านี้ ถือเป็นการรับกระแสอย่างทันท่วงทีของปรากฏการณ์หนัง vampire twilight ภาคต่อ - นันทขว้าง สิรสุนทร)