เล่าเรื่องราวตอนเด็กให้ฟังหน่อย ว่า ด.ช.ศรัณย์ เป็นยังไง
“ถ้าเป็นชีวิตวัยเด็ก เป็นเด็กนครสวรรค์ตั้งแต่กำเนิดและเรียนจนถึงมัธยมปลาย ก็เรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัดนครสวรรค์ แล้ววัยเด็กก็เป็นเด็กทั่วๆ ไป ตั้งใจเรียน คุณพ่อคุณแม่พยายามดูแลเรื่องการเรียนอย่างเต็มที่ครับ แล้วให้ทำกิจกรรมด้วย เป็นเด็กกิจกรรมที่ทำกิจกรรมควบคู่ไปกับการเรียนแล้วก็บาลานซ์มันให้ได้ ได้มีโอกาสทำหลายๆ อย่างที่เป็นกิจกรรมที่ทั้งคุณครู คุณพ่อคุณแม่ให้การสนับสนุน ไม่ว่าจะกิจกรรมภายในโรงเรียนหรือนอกโรงเรียนก็ตาม รวมไปถึงการประกวดร้องเพลงด้วย ที่ได้เข้ามาทำจริงๆ สักประถม 3 ก็ได้เข้าร่วมประกวดร้องเพลงยุวชนชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย หรือเคพีเอ็นอวอร์ด เป็นเคพีเอ็นจูเนียร์อวอร์ดในปี 2534 นอกจากนั้นพอประกวดร้องเพลงชนะ ก็ได้ทำเรื่องอื่นๆ อีกเยอะ ตามมาเยอะมากเลยครับ ทั้งร้องเพลงในโอกาสต่างๆ ได้มาทำงานกับศิลปินเยอะแยะเลย รวมถึงการทำงานในวงการบันเทิง ได้เล่นละครกับช่อง 3 ในเรื่อง “ใครๆ ก็ไม่รัก” ค่ายยูม่า แล้วได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ ไปเผยแพร่วัฒนธรรม ในฐานะที่เป็นยุวชน ตัวแทนประเทศไทย หลังจากที่เราทำงานในการร้องเพลงและการแสดง ก็เรียนหนังสือก็ยังตั้งอกตั้งใจ และพยายามทำให้ดีที่สุด นอกจากนั้นก็ใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป มีเวลาก็วิ่งเล่น ตามภาษาเด็กที่เกิดในยุค 80-90 ครับ”
ได้ข่าวว่าเป็นนักล่าฝัน ประกวดร้องเพลงมาหลากหลายเวที
“ความเป็นนักล่าฝัน จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจล่าฝันขนาดนั้น มันมาจากภาพที่ตอนนั้นเราอยู่ประถม คุณครูในโรงเรียนก็เห็นว่าเราเป็นเด็กกิจกรรมอยู่แล้ว ตั้งใจเรียน คอยทำโน่นทำนี่ให้กับโรงเรียนอยู่แล้ว เขาเลยบอกว่ามีการประกวดอันนึงเปิดขึ้นมา อยากลองมั้ย เป็นการประกวดร้องเพลง ซึ่งในฐานะเด็กกิจกรรมคนหนึ่ง คุณครูก็ผลักดัน คุณพ่อคุณแม่ก็สนับสนุนเพราะเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ก็เลยลองประกวด เข้าสมัคร คือการประกวดเคพีเอ็นหรือสยามกลการในยุคนั้นนั่นเอง พอสมัครไปปุ๊บ ก็ผ่านการเข้ารอบมาเรื่อยๆ ถามว่าเป็นนักล่าฝันเลยมั้ย ณ ตอนนั้นต้องตอบว่าอาจจะยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ซะเลยทีเดียว เพราะมันเป็นเรื่องของตัวตั้งที่ไม่ได้มุ่งหมายว่าเราต้องมาเป็นนักร้องหรือนักล่าฝัน มันเป็นหนึ่งกิจกรรมที่เราทำแล้วคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์ แล้วคุณครูกับคุณพ่อคุณแม่ก็มองว่าทำเถอะ ทำได้ก็ลองดู ไม่ได้มีความหวังที่จะเป็นผู้ชนะหรือมาเป็นนักร้องเต็มตัว แต่ทีนี้พอหลังจากวันนั้นในปี 2534 ที่เราประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย คือได้เป็นยุวชนนักร้องยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย ในปีนั้น ต้องบอกว่ามันไปเกินความคาดหมายมากๆ แล้วมันบ่มเพาะอะไรในตัวเราอยู่เยอะมาก มันสร้างเมล็ดพันธ์บางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องเป็นคนที่เก่งในด้านนี้ให้ได้ เราต้องพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ และเราก็พบว่าเรารักการร้องเพลงมาก ความรักในการร้องเพลง ประกอบกับการใฝ่ดีที่อยากจะไปด้านนี้ ไปให้สุด มันเลยรู้สึกว่าเราอยากท้าทายตัวเองอยู่ตลอดเวลา แล้วจนผ่านไปเป็นเวลาสัก 10 ปี ตั้งแต่2534 ปี 2544 สิบปีให้หลังก็มีการประกวดเคพีเอ็นในรุ่นผู้ใหญ่กลับมาเปิดอีกครั้ง หลังจากเขาเว้นว่างไปสักระยะ เราก็โชคดี ได้กลับมาเจอพี่ที่เรารู้จักท่านหนึ่ง และเป็นพี่ที่เราเคารพรักและเป็นครูของโน้ตท่านหนึ่งเลย คือพี่เอก จิระชัย กุลละวณิชย์ ซึ่งกับพี่เอก มีความบังเอิญแบบแปลกๆ บางอย่าง ตรงที่ว่าพี่เอก จิระชัย เป็นกรรมการในการประกวดของโน้ตตอนรุ่นเด็ก แกเป็นกรรมการในรอบชิงชนะเลิศ แล้วก็มาบังเอิญได้เจอแก อยู่ดีๆ ก็มาเจอกันในงานๆ หนึ่ง ในปีที่ KPN กำลังกลับมาเปิดในรุ่นผู้ใหญ่ ในปี 2544 พี่เอกเลยเอ่ยปากชวนเลยว่ามามั้ย มาลองดู เดี๋ยวพี่ช่วยเทรนให้ สำหรับเคพีเอ็นปีนั้น ซึ่งก็คือปี 2001 พอรู้ว่าพี่เอกชวน พี่เอกแกก็มีชื่อเสียงและมีความเมตตากับเรามาก ก็ไม่ลังเลเลยที่จะบอกว่ามาเป็นลูกศิษย์พี่เอก ก็เลยเข้าประกวดในปี 2001 และประสบความสำเร็จ ได้เป็นนักร้องดีเด่นแห่งประเทศไทยในปีนั้น หลังจากนั้นก็เปิดประตูอีกหลายบานมาก มาเจอครูที่โน้ตเคารพรักอีกท่านหนึ่ง มาเจออีกครั้งหนึ่ง คือครูดุษฎี พนมยงค์ ที่ใช้คำว่าอีกครั้งหนึ่งเพราะจริงๆ ครูเคยสอนโน้ตมาแล้วในสมัยเป็นเด็ก ครูเคยมาอบรมให้นักร้องเด็กที่เข้าร่วมประกวด ครูดุษฎี ที่เป็นศิลปินแห่งชาติก็บอกว่านี่ โน้ต ไหนๆ ในระดับประเทศเราได้ทำมาแล้ว ครูเนี่ย อยากให้โน้ตไปลองประกวดเวทีนึง เป็นการประกวดในระดับเอเชีย ก็เลยผลักดันให้โน้ตไปประกวดระดับเอเชีย ก็ไปประกวดที่ประเทศจีน ที่ปักกิ่ง เรียกว่า Pan Asia New Singer Competition ทำให้เราได้รางวัลรองชนะเลิศมา เป็นการประกวดที่สร้างความประทับใจให้เรา และเปิดหูเปิดตาเรามาก เพราะคนที่เข้าร่วมประกวดเก่งมากจริงๆ มาจากหลายประเทศเลย คนเข้าร่วมเผลอๆ มามากกว่าแพนเอเชียด้วยซ้ำ เพราะฝรั่งมาด้วย เลยทำให้การประกวดครั้งนั้นค่อนข้างเข้มข้น แต่เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ เลยครับ แล้วหลังจากนั้นมาล่าสุด ในปี 2017ก็ได้รับคำชวนอีกเช่นเดียวกัน ส่วนมากจะมาอย่างนี้ พี่น้องในวงการที่รู้จักกัน เขาบอกว่า พี่โน้ต มีการประกวดอันนึงไปประกวดมั้ย อยู่ที่อเมริกา อันนี้ใหญ่กว่าแพนเอเชียนะเป็นระดับโลก คนมาแข่งจาก 60-70 ประเทศทั่วโลก ผู้ประกวดมีเป็นร้อยๆ พี่อยากลองมั้ย เป็นอันที่น้องเก่ง ธชย เขาเคยไปมาก่อนหน้านั้นแล้วในปี 2016 แล้วโน้ตไป 2017 เราก็เริ่มคิดมาก เราอายุเยอะขึ้น กำลังคิดว่าไปดีมั้ย เหนื่อย ต้องเตรียมตัว ใช้สตางค์อะไรแบบนี้ แต่ปรากฎว่าหลายปัจจัยมันมาในจังหวะที่เอื้อให้เราได้ไปจริงๆ จังหวะ ไทม์มิ่งอะไรต่างๆ ด้วยครับ แล้วผู้ใหญ่เมตตา ให้เราได้ไปประกวดจริงๆ ในปี 2017 มันคือการประกวด World Championships of Performing Arts หรือ WCOPA ซึ่งเป็นการประกวดเวทีใหญ่จริงๆ คนมาร่วมจากเกือบ 70 ประเทศทั่วโลก ผู้ร่วมแข่งขันหลายร้อยอย่างที่บอกไว้จริงๆ แล้วน่ากลัวมาก คือการแข่งขันมันดุเดือด มันต้องให้เราแข่งประกวดทุกประเภทให้จบภายใน 1 วันโดยที่การร้องแต่ละเพลง เขาให้เวลาเราสร้างความประทับใจให้กับกรรมการแค่เพลงละ 1 นาทีเท่านั้น ถ้าเราทำได้ เราก็มีโอกาสในการที่จะรับรางวัล แต่ถ้าเราทำไม่ได้ใน 1 นาทีนั้น เราก็ตกรอบ ไม่ได้อะไร วันนั้นทั้งวันแข่งร้องเพลงอยู่สิบกว่าประเภท ร้องเข้าไป คอโก่ง ปรากฎว่าวันรุ่งขึ้นเสียงหายไปเลย ด้วยความเครียดด้วย แต่วันถัดมาเขาประกาศว่าเราได้ผ่านเข้าไปในรอบชิงชนะเลิศ จนถึงสุดท้ายแล้ว เราได้เหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดงมาเยอะมาก ต้องบอกว่าได้มากที่สุดเลย ได้มาทั้งหมด 14เหรียญ รวมถึงว่าในสามประเภทการแข่งขัน ป๊อบ อาร์แอนด์บี ที่เป็นมิวสิเคิล เราได้คะแนนสูงสุดของโลก เลยทำให้เราได้โล่ที่เป็นโล่คะแนนสูงสุดจากรายการนี้มา ก็เป็นความภาคภูมิใจมาก ตอนนั้นกลับมา โอ้โห คนยินดีกับเรามากมาย ทำให้เรามีโอกาสอีกเยอะแยะเลย อย่างที่บอกถามว่าล่าฝันมั้ย การประกวดครั้งแรกคงไม่ใช่การล่าฝัน มันเป็นเรื่องของความบังเอิญและเป็นเรื่องของโอกาส แต่ถัดมาจึงค่อยเป็นการล่าฝัน เป็นการท้าทายตัวเองมากๆ แต่ก็ถือว่าเป็นการล่าฝันที่เราภูมิใจ มองย้อนกลับไปก็มีเรื่องให้เราคิดถึง เราย้อนกลับไปแล้วก็ยิ้มได้”
ทำไมจากชีวิตนักบริหาร มาจับไมค์ร้องเพลง แถมได้ข่าวซุ่มทำซิงเกิ้ลของตัวเองอยู่ด้วย
“ต้องบอกว่ามันไม่ใช่การพลิกผัน ไม่ใช่เปลี่ยนจากอีกอันมาเป็นอีกอันนึง แต่มันอยู่มาด้วยกันตลอด การร้องเพลงอยู่กับโน้ตมาตั้งแต่เด็กๆยังไม่สิบขวบเลย มันเริ่มต้นมานานแล้ว โดยเฉพาะความรักในการร้องเพลง รักที่จะร้องเพลง ชอบ แต่งานที่เป็นการบริหาร หรือทรัพยากรบุคคล มันเป็นงานหลักที่เราทำด้วยความรักอีกแบบหนึ่ง เป็นสิ่งที่เราทำได้และทำได้ดีอีกแบบหนึ่ง ดังนั้นมันคือการที่เราควบคู่ไปสองอย่างด้วยกัน และมันเป็นสิ่งที่โน้ตมองว่าไม่อยากขาดด้านใดด้านหนึ่งไปเลย ถ้าขาดการร้องเพลงเราคงไม่กระชุ่มกระชวย คงไม่ได้ใช้ด้านอารมณ์ของเรา แต่ถ้าขาดงานประจำไป ความสนุกที่เราไปเจอทีมงาน ไปเจอเจ้านาย ไปเจอเพื่อนร่วมงานเราหลายๆ คนมันก็จะหายไปอีกเช่นเดียวกัน ถ้าทิ้งงานออฟฟิศ การที่เราประสบความสำเร็จเพื่อองค์กร เพื่อตัวเราและทีมงาน มันก็จะหายไป ดังนั้นมันคือการที่เราจะตีคู่ด้วยกันอย่างไรให้ประสบความสำเร็จทั้งสองอย่างมากกว่าครับ ซึ่งทั้งสองอย่างเป็นสิ่งที่โน้ตรัก อยากจะดูแลมันไปเท่าที่เราทำไหว และเวลายังเอื้ออำนวยให้เราทำมันคู่กันไปแบบนี้ มันเติมเต็มจิตใจเรา และเติมเต็มการทุ่มเทเวลาของเราได้ดีทั้งคู่ครับ ก็เลยมองว่าไม่ใช่การพลิกผัน แต่เป็นสิ่งที่เราทำมาด้วยกันอย่างนี้ นานมากแล้ว และถ้าขาดอันใดอันหนึ่งไปคงเหงาพอสมควรครับ ส่วนงานเพลงเร็วๆ นี้ก็จะมีซิงเกิ้ลแรกในชีวิตให้ได้ฟังกัน แต่ขอเก็บไว้เป็นความก่อน”
ทำไมถึงลุกขึ้นมาทำซิงเกิ้ลของตัวเอง
“จริงๆ โน้ตตั้งตนแบบนี้ก่อน ในความเป็นนักร้องของเรา เราทำมาหลายรูปแบบมากแล้วครับ โน้ตแสดงสด ประกวด เป็นนักพากย์ให้ดีสนีย์ จริงๆ สปอร์ตโฆษณา การใช้เสียงต่างๆ ทำมาหมดทุกอย่างแล้ว มันน่าสนใจตรงที่ว่า มันขาดอยู่อย่างเดียว คือการเป็นศิลปินที่มีเพลงเป็นของตัวเองแล้วขาย ก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าเออ ทำไมเราไม่คิดทำ ทำไมไม่มีโอกาสทำมันสักที จนมาถึงจุดที่ เฮ้ย หลายๆ คนเขาก็เริ่มมีได้ แล้วเขาก็ทำได้ เราก็น่าจะทำได้เพราะหลายๆ อย่างเราพร้อมอยู่แล้ว เราคิดว่าน่าจะลองดู เลยได้คุยกับหลายๆ คนที่เป็นรุ่นพี่ในวงการ ที่เป็นนักร้อง มีโปรไฟล์การทำงานคล้ายๆ เรา อย่างเช่นพี่กบ เสาวนิตย์ ก็คุยกัน ว่าจริงๆ เราทำได้ เรามีแมดทีเรียล แล้วการทำเดี๋ยวนี้ก็ไม่ยาก เราตั้งเป้าของตัวเองว่า เราไม่ได้มองว่าเราต้องมีชื่อเสียงโด่งดังอะไรไปมากกว่านี้ หรือต้องการให้เป็นอะไรที่ต่างจากนี้มากมาย แต่สิ่งที่เรามองว่าเราอยากจะตั้งธงให้เป็นผลของการทำโปรเจกต์นี้ คือหนึ่งมันต้องตอบโจทย์ทางใจเราก่อนว่า เราทำแล้วเรามีความสุข เราต้องไม่มานั่งเสียดายทีหลังว่าไม่น่าทำเลย นั่นคือข้อที่หนึ่ง อย่างที่สอง งานที่เราทำ ต้องเป็นสิ่งที่เราเชื่อและมีความรักกับมัน ไม่ว่าจะด้วยเพลง ด้วยคอนเทนต์มัน ด้วยวิธีการเล่าเรื่อง ด้วยเนื้อหามัน เราต้องอินกับมันจริงๆ แล้วมันจบได้ในตัวเรา ในเชิงความรู้สึก อย่างที่บอกเราจะไม่มีการกลับมาคิดว่าเฮ้ย โห รู้อย่างนี้ทำอย่างนี้ดีกว่า ไม่อยากให้เกิดสิ่งนั้นขึ้น สามโน้ตมองว่าเราน่าจะสามารถสร้างผลงานที่เราภาคภูมิใจและเป็นผลงานเพลงดีๆ อันหนึ่งเอาไว้ให้กับวงการ แม้ว่าคนอาจจะฟังน้อย ไม่ได้เยอะ ไม่มีชื่อเสียงมากมายแต่น่าจะเป็นงานที่ดีงานหนึ่งที่ไม่สร้างกระแสอะไรลบๆ หรือเป็นเพลงที่ชวนให้คนทำอะไรไม่ดี คิดอะไรไม่ดี อย่างน้อยก็เป็นเพลงที่จรรโลงคนเราให้มีความสุขกับงานของเราได้ นี่คือสามอย่างที่โน้ตมองไว้และคิดว่านี่คือตัวตั้งของโปรเจกต์นี้ครับ”