
'โบว์' กับความรักแบบไม่เป็นภาษา
"โบว์" เมลดา เล่นหนังเรื่องแรก แย้ม "รักไม่เป็นภาษา" มีมากกว่าความสนุก
บันเทิง คมชัดลึก - เรียกว่าคร่ำหวอดในวงการมาพักใหญ่สำหรับสาว "โบว์" เมลดา สุศรี ล่าสุดโดดมาชิมลางงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกใน “รักไม่เป็นภาษา” ซึ่งเรื่องนี้ไปถ่ายทำไกลที่ต่างประเทศ ซึ่งนักแสดงสาวได้กล่าวถึงบทบาทที่ได้รับในครั้งนี้กับ “คมชัดลึก” ว่า
"ก็เล่นเป็นพร เล่นสาวที่แอบเพี้ยนนิดหนึ่ง เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรที่กดดันก็จะพูดผวน เช่น ไนซ์ทูมีทยู ก็จะเป็น ไนซ์ทูโมคยูทู หรือฮาวอายูทูเดย์ ก็จะเป็น ฮาวอายูทูดู ซึ่งพรจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่มันจะมีเหตุที่ต้องไปลอนดอนเพราะพี่สาวต้องแต่งงานกันฝรั่งซึ่งเพิ่งคบกันได้ 7 วัน มันทำให้พรต้องทิ้งทุกอย่างที่เมืองไทย ทั้งหน้าที่การงาน ทั้งรุ่นพี่ที่เราชอบ เพื่อน พอไปลอนดอนก็ไปเรียนภาษาอังกฤษก็ไปเจอพี่เบสท์ (ณัฐสิทธิ์ โกฏิมนัสวนิชย์) พี่ฟอร์ย (ณัฏฐพงษ์ ชาติพงศ์) และ "แม็กซ์" อชิระ เอทเตอร์ ซึ่งในเรื่องแสดงเป็นอองตอน ซึ่งอองตวนเป็นหนุ่มฝรั่งเศสที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เขาก็เลยมาเรียนภาษาอังกฤษที่เดียวกับเราและเขาก็มาจีบเรา ซึ่งเราก็กลัวเพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่มันมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องขอความช่วยเหลือจากเขา ก็เลยทำให้เกิดเรื่องราวในเรื่อง
@ เรื่องนี้ต้องเดินทางไปถ่ายทำที่ต่างประเทศด้วย
ก็ถ่ายที่ไทยช่วงแรก และหลังจากนั้นก็ถ่ายที่ลอนดอนไปทั้งหมด 3 ครั้ง รวมแล้วก็เดือนกว่า คือไปครั้งแรก 15 วัน ครั้งถัดมาก็ 7 วันบ้าง 10 วันบ้าง
@ ความแตกต่างของการแสดงภาพยนตร์และละครมันแตกต่างกันมากไหม
ถ่ายหนังก็เร็วดี แต่การทำงานมันต้องเป๊ะมากๆ ด้วยระยะเวลาในการถ่ายทำที่มีเวลาจำกัด เราก็ไม่อยากให้มีความผิดพลาดเลยเพราะเวลาที่โน่นมันมืดเร็วมาก เาก็ไม่อยากให้เสียเวลา ถามว่าทำงานหนักแค่ไหน คืออยู่ที่ต่างประเทศก็ทำงานตลอดเวลา ทุกวันจะตื่นตั้งแต่ตี3 เพื่อแต่งหน้าทำผม พอ 7 โมงก็ไปกินข้าวเช้าที่โรงแรม อาหารที่โรงแรมมันเป็นอาหารฝรั่งที่แห้งมากๆ แล้วเราต้องทาน 15 วันเหมือนกันทุกวัน มันก็มีเบื่อบ้าง ถ้าเราอยากทานอย่างอื่นมันก็ต้องซื้อเพิ่ม ซึ่งเราอยู่ที่โน่นเราต้องประหยัด ถามว่ามันลำบากไหม ก็ไม่ลำบากขนาดนั้น คือพี่ๆ หลายคนก็เคยไปเที่ยวเขาก็จะแนะนำว่าถ้าจะไปเที่ยวก็นั่งรถเมล์ไป นั่งรถไฟใต้ดินไป และน้องแม็กซ์ที่เล่นเป็นอองตวนก็เคยเรียนที่ลอนดอนเขาก็จะแนะนำเราได้ เราก็เกาะน้อง น้องไปไหน เราไปด้วย ถ้าสมมุติมีเหตุการณ์อะไร น้องสามารถเคลียร์ให้เราได้ ถามว่าไปต่างประเทศเราได้เที่ยวไหม แทบไม่ได้เที่ยวเลย เพราะห้างเขาปิดเร็วมาก2 ทุ่มก็เปิดแล้ว กว่าจะถ่ายละครเสร็จก็ทุ่มครึ่ง กว่าจะไปถึงห้างก็ปิดแล้ว เราก็เลยได้เดินบริเวณใกล้ๆ ก็จะอาศํยช่วงที่ถ่ายหนัง ก็จะได้ไปตลาดซึ่งเราก็จะได้ไปซื้อของกินที่เราไม่เคยกิน ที่นั่นมันมีหอยต้มนมอร่อยมาก...ก ซึ่งมันดูทำง่ายมาก นอกจากมีก็มีน้ำส้มคั้น ซึ่งเราจะตื่นเต้นมากเรื่องของกิน ลอนดอนนี่ก็ไปครั้งแรก ส่วนใหญ่ก็ไปทำงาน ไปเที่ยวแค่ครั้งเดียวคือสิงคโปร ส่วนที่ไปยุโรปก็ไปถ่ายแบบ แต่โชคดีที่ได้ไปเที่ยวเพราะเราถ่ายเป็นคนสุดท้าย เมืองสุดท้าย เราก็นั่งตามพี่ๆ ไปตั้งแต่วันแรก ซึ่งไปทั้งหมด 3 เมือง ก็ช่วยเขาทำโน่นทำนี่ แล้วเราก็ได้เที่ยวด้วย
@ได้ประสบการณ์อะไรบ้าง
เยอะมาก เพราะเราต้องดูแลตัวเอง เพราะครั้งนั้นเราไปคนเดียว แม่ไม่ได้ไป ผู้จัดการไม่ได้ไป เราก็ต้องดูแลตัวเองให้ได้เอาตัวรอดให้ได้ เรื่องหนังการทำงาน เวลาเราต้องทำให้ได้ เรื่องหนังการทำงานก็ต้องเป๊ะและต้องช่วยๆ กันด้วย อะไรที่เรามีน้ำใจได้ก็ต้องมี เรียกว่าประสบการณ์ชีวิตเยอะมาก สามารถเอาไปเล่าให้คนอื่นฟังได้
@หนังเรื่องนี้ให้อะไรบ้าง
ให้เยอะมาก คือหนังเรื่องนี้ให้เราคิดได้หลายอย่างมาก คือตัวพรมีพี่คนเดียวคือพี่เพ็ญเขาก็จะทำทุกอย่างให้พี่ปลอดภัย ต่อให้เราไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ไม่เคยบินไปต่างประเทศคนเดียวเราก็ต้องทำ อะไรจำเป็นต้องทำก็ต้องทำ แล้วสาเหตุที่เรื่องนี้ใช้ชื่อว่ารักไม่เป็นภาษา เพราะอยากให้สื่อว่าคนเราคือเขาอยากสื่อว่า คนเรารักกันได้ไม่ใช่เรื่องคำพูด คนเรามันรักกันจากการกระทำและสิ่งที่มันมาจากข้างใน
@ เรื่องนี้ได้ร่วมงานหลายคน
พี่เรียว (กิตติกร เลียวศิริกุล) ตีกับหนูทุกวัน เพราะหนังมันต้องใช้ความเรียลริสติกมากๆ แต่เราติดการแสงจาละคร ซึ่งเราจะเล่นใหญ่กว่าคนปกตินิดหนึ่ง ซึ่งมันต้องมาปรับจูนให้เล่นซอฟลง และเรื่องนี้พี่เรียวจะไม่ให้เราแต่งหน้าเลย เป็นเรื่องแรกเลยที่แทบจะไม่แตะบลัชออน เราแอบทาตินท์ที่ริมผีปาก พี่เรียวก็จะทักทันว่าว่าเราจะไปเล่นลิเกที่ไหน (หัวเราะ) คือบางทีปากเราก็ซีด เขาก็ยังบอกให้เราไปเช็ดออก ซึ่งเราก็เข้าใจว่าคนดูเขาอาจจะอยากเห็นความเป็นธรรมชาติ เพราะความเป็นหนังของเอ็ม39 ด้วย เรื่องนี้บอกได้คำเดียวว่าหน้าสดทุกคน (หัวเราะ) จริงๆ ในละครเราก็ว่าเราแต่งน้อยแล้วนะเพราะส่วนใหญ่เราเล่นเป็นเด็กใสๆ อย่างมากก็เขียนคิ้ว ปัดมาสคาร่านิดเดียว แต่พอมาเล่นหนังเรียกว่าไม่แต่งหน้าเลยดีกว่า คิ้วไม่ปัดหางคิ้วยังไม่เติมให้เลย ขนคิ้วที่ขึ้นมาใหม่ก็ห้ามถอนต้องปล่อย แก้มปัดมาตั้งแต่ตี จะเติมก็ไม่ได้ ปากทาได้แค่ลิปมัน พอทามันไปก็เหมือนไปกินก๋วยเตี๋ยวมาก็ต้องเช็ดออก จริงๆ โบเป็นคนรักสวยรักงามมาก ปกติกินข้าวเสร็จต้องทาปากทันที คือแต่ก่อนเราก็ไม่ได้รักสวยรักงามขนาดนี้ แต่พออยู่ในวงการบางวันเห็นรูปตัวเองปากซีดก็จะคิดว่าทำไมไม่ทาปากตอนนั้น
@หนังมันเลือนฉายมันเกิดปัญหาอะไรขึ้น
อันนี้ไม่รู้เลย ก็คิดว่าน่าจะรอฤกษ์ที่ดีแหละเพราะเรื่องนี้เป็นหนังรัก ถ้ามาฉายช่วงใกล้ๆ วันวาเลนไทน์คนดูก็น่าจะแฮปปี้
@เจอปัญหาอะไรบ้าง
ส่วนใหญ่ก็จะติดเรื่องเวลาเพราะว่าสว่างช้า มืดเร็ว คือทุกวันทำงานแข่งกับเวลามากๆ นอกจากนี้ก็มีเรื่องอากาศหนาว เสื้อผ้าไม่อำนวย คือวันแรกๆ ที่ไปทำงานเราก็ไม่คิดว่ามันจะหนาวมาก ก้จะใส่เสื้อยืดตัวเดียวแต่มันเอาไม่อยู่ มันหนาวมากพูดแทบไม่ออก วันถัดมาเราก็จัดเต็มเลยเรื่องเสื้อผ้า ถามว่าเราใส่เสื้อหลายชั้นมันทำให้ตัวใหญ่ขึ้นไหม โบว์ว่าไม่นะเพราะเสื้อเรามันตัวใหญ่มาก ออกกล้องก็เลยไม่ตัวใหญ่
@ช่วงที่ผ่านมางานเยอะ เห็นว่าไปญี่ปุ่นมา
ที่ญี่ปุ่นคือไปทำงาน แต่ไปทำงานมันก็เหมือนเที่ยว คือ เราไปตามสถานที่ต่างๆ ใน จ.มิตซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น เหมือนเราเป็นผู้โชคดีที่ได้ไปเผยแพร่วัฒนะธรรมไทย แล้วเขาก็อยากให้เรานำวัฒนธรรมญี่ปุ่นของเขามาเผยแพร่ที่ประเทศไทยด้วย ว่าวิถีชีวิตเขาใช้ชีวิตอย่างไร เขายังมีทำกระดาษสาอยู่ และนอกจากนี้เราก็ไปในสถานที่ทัวร์ไ่ม่ไปกัน ซึ่งคนไทยน่าจะชอบเพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ คือเราก็อยากไปทุกปีเพราะอาหารมันอร่อย โดยเฉพาะปลาอร่อยและสดมาก นอกจากนี้ก็มีผลไม้อย่างสตอเบอร์รี่ มันอร่อยมาก...กกัดแล้วละลาย โบว์กินเยอะมากจนกลิ่นตัวเป็นกลิ่นสตอเบอร์รี่ ซึ่งเราก็ได้ความรู้ว่าการจะกินสตอเบอร์รี่ให้อร่อย อย่ากินสีแดง ให้ทานลูกที่ไล่สี อย่างขาวอ่อน ชมพู จนไปสีแดง เราก็อยากให้ทุกคนที่ไทยได้ไปกัน มันเป็นจังหวัดที่คนไทยไม่ค่อยไปเที่ยวแต่มีอะไรที่น่าเที่ยวเยอะมาก
@ ครอบครัวสนิทมากไหม
สนิทมาก...ก จริงๆ โบว์อยากมีพี่ อยากมีน้องนะ แต่มันไม่มี โบว์ก็เลยจะสนิทกับคุณแม่มาก มีอะไรโบว์บอกคุณแม่หมด ทั้งเรื่องงานและความรัก เพราะโบว์มีแม่เป็นเพื่อน มีแม่เป็นทุกอย่าง เวลามีแฟนท่านก็จะทราบเพราะเราก็จะบอกท่านตลอด คือถ้าเรามีแฟนแต่เขาเข้ากับครอบครัวเราไม่ได้เราก็ต้องขอบาย โบว์คิดว่าถ้าเราจะมีแฟนทั้งทีเขาก็ต้องรู้จักเรา รู้จักครอบครัวของเรา ญาติของเรา จะได้สบายใจในการคบ
@ ส่วนตัวมีสเปกหนุ่มอย่างไร
ชอบผู้ชายตาหวาน ยิ่มหวาน คิ้วดก ผิวเข้มๆ เอาเป็นว่าผิวไม่ต้องเข้มมากก็ได้แต่ต้องผิวต้องไม่ขาวกว่าหนู ซึ่งมันหายาก มันไม่มีใครหรอกที่ผิวเข้มแต่หน้าตี๋ ยิ้มหวาน ตาหวาน ส่วนใหญ่จะเจอตาสวยแต่ยิ้มไม่หวาน แต่นั่นคือสเปกที่เราชอบ แต่ถ้าเราจะมีแฟนจริงๆ เราก็จะดูกันที่นิสัยอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องรวยแล้วมาจีบเรา ขอแค่เขานิสัยดีแล้วมาจีบเราก็แฮปปี้แล้ว คือขอแค่นิสัยดี ดูแลเรา เข้ากับครอบครัวเราได้ก็โอเคแล้ว ถามว่ามีเข้ามาไหม ก็มีผ่านมาแล้วก็ผ่านไป คือเราก็ยังเด็กกันอยู่ ถามว่าตอนนั้นจริงจังไหมก็จริงจังนะแต่เรายังเด็ก
@ ตั้งลิมิตไหมว่าจะมีแฟนเมื่อไหร่
ตอนนี้โบว์อายุ 22 ปี ถ้าจะมีแฟนจริงๆ ต้องขอเรียนจบก่อน คือตอนนี้อยู่ปี 4 แล้ว เหลืออีก 5 วิชาก็จบแล้ว คือโบว์เรียนคณะสื่อสารมวลชนของรามคำแหง ที่ยังไม่จบเพราะเราไม่ค่อยว่างไปสอบ คือเราทำงานด้วยเรียนด้วย มีงานมาเราก็เอางานก่อน จริงๆ โบว์อยากเรียนเกี่ยวกับศิลปะ ตอนแรกจะเข้าเรียนสถาปัตย์แต่ไม่มีเวลาไปเรียนวิชาการเหมือนคนอื่นเพราะเราก็ทำงานไปด้วย เลยขอจบปริญญาตรีก่อนแล้วค่อยไปต่อโทสายอาร์ตน่าจะดีกว่า แต่มันก็เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้ก็ขอเรียนให้จบก่อนเรื่องมีแฟนค่อยว่ากัน คือเราก็เป็นครอบครัวคนไทยก็อยากเรียนให้จบก่อนค่อยมีแฟน เราไม่อยากให้ใครมาว่าเราได้ว่าเพราะมีแฟนถึงเรืยนไม่จบ จริงๆโบว์เป็นคนที่ชอบเรียนมาก แต่เราเข้าวงการมาตั้งแต่เด็ก เวลาสอบเราก็ได้คะแนนเท่าๆ กับเพื่อน เราก็เลยรู้สึกว่านี่ขนาดไม่ค่อยมีเวลาเรียนยังได้คะแนนขนาดนี้ คือถ้าเรามีเวลาเรียน มั่นใจว่าคะแนนมันต้องดีกว่านี้ ไม่เคยคาดหวังเรื่องเรียน ตกก็ซ่อม โบว์ไม่เน้นเกรด เน้นผ่าน คือแค่ผ่านก็แฮปปี้
@ แฮปปี้กับชีวิตตอนนี้ไหม
ก็แฮปปี้ ไปเรื่อยๆ ส่วนเรืองงานเพลงตอนนี้ก็ยังร้องเพลงอยู่ ไม่ได้ทิ้ง ก็มีคนถามๆ เข้ามาเหมือนกันว่าอยากทำวงไหม คือโบว์ก็อยากทำนะแต่ไม่มีเวลาไปทำ ไม่ว่างเพราะเราถ่ายละครทุกวัน ถ้าวันไหนไม่ได้ถ่ายละครเราก็มีงานอื่นต้องไปทำ
@มองวงการในอนาคตไว้อย่างไร
พี่ๆ ในวงการบันเทิงหลายคนบอกว่ามันเป็นงานที่ไม่แน่นอน แต่โบว์กลับมองว่ามันสามารถทำเป็นอาชีพหลักได้นะ มันอยู่ที่ตัวคน คือโบว์อยากอยู่วงการไปเรื่อยๆ เราสามารถแสดงได้ทุกตัวละคร ทุกคาแรกเตอร์จะเป็นอะไรก็ได้ น้องสาวพระเอกก็ได้ เพื่อนนางเอกก็ได้ คือถ้าเขาอยากให้เราเป็นอะไรก็เป็นได้อยู่แล้ว หลายคนมองอาชีพไว้เผื่อวันหนึ่งดรอปลง แต่โบว์ไม่เคยคิด ไม่เคยคิดลบกับตัวเอง เราก็จะคิดบวกๆ ไว้ คือเราคิดอย่างไรก็ได้อย่างนั้น แล้วถ้าวันหนึ่งอยากทำอะไรเพิ่มให้กับตัวเอง ก็อยากทำร้านอาหาร เพราะเราเป็นคนชอบกินของอร่อย แต่ตอนนี้ยังแฮปปี้กับงานตอนนี้อยู่
เรื่อง : เสาวลักษณ์ ปึงทมวัฒนากูล
ภาพ : รัชชานนท์ อินทรักษา