บันเทิง

มองโลกแบบวิกรม - “ไว้จุกใส่โสร่ง”

มองโลกแบบวิกรม - “ไว้จุกใส่โสร่ง”

06 พ.ย. 2552

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายนนี้ ทางบริษัท ไทเกอร์ แท็ค ทีม จำกัด ในเครือของบริษัท เจ เอส แอล โกลบอลมีเดีย จำกัด ได้ฤกษ์จัดพิธีบวงสรวงเปิดกล้องละคร “ไฟอมตะ” ซึ่งเป็นละครที่สร้างจากเรื่องราวชีวิตของผมจากหนังสือ “ผมจะเป็นคนดี” (ไฟฝัน วันเยาว์ ฉบับสมบูรณ์) โดยมี

  โดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นตัวละครต่างๆ ออกมาโลดแล่นบนจอทีวีเหมือนกัน เพราะหากย้อนหลังไปก็มีเรื่องราวความทรงจำมากมายที่ชวนให้ระลึกถึง เช่นเมื่อ 160  ปีที่แล้ว ปู่ทวดของผมมาจากเมืองจีนในช่วงราชวงศ์ชิง ซึ่งปกครองโดยแมนจู แล้วมาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองไทย ยุคนั้นผู้ชายจีนต้องแต่งตัวแล้วมีทรงผมไว้หางเปีย ตามนโนบายของรัฐบาลแมนจู ที่ต้องการให้ผู้ชายจีนฮั่นไว้ผมเปียตามวัฒนธรรมของชาวแมนจู  เมื่อปู่ทวดเข้ามาเมืองไทยก็ยังไว้หางเปียอยู่ด้วย เรียกได้ว่าเป็นจีนทั้งแท่งเต็มตัวเลยทีเดียว 

 ผมตัดสินใจบวชให้แม่เมื่อผมอายุ 50 ปีบริบูรณ์ครบถ้วน แน่นอนว่าต้องโกนทั้งผมและคิ้วด้วย เพื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตในมุมใหม่ให้แก่ตัวเอง ถึงแม้จะเป็นการใช้ชีวิตแบบว่างเปล่า เรียบง่าย ในป่าที่ดอยอินทนนท์ก็ตาม    

 หลังจากสึกออกมาก็เกิดความคิดใหม่แบบกลับไปสู่ธรรมชาติที่เรียบง่าย จึงคิดจะไม่ตัดผมเพื่อจะได้ไว้หางเปียให้เหมือนบรรพบุรุษ  ดังนั้นวันที่ 17 เมษายน 2003  จึงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมโกนผมตัวเองขณะเป็นภิกษุในป่านั่นเอง และก็ปล่อยให้ผมยาวเรื่อยมา ถึงวันนี้ในปี 2552 เป็นระยะเวลากว่า 6 ปี ผมของผมก็ยังยาวไม่ถึงไหนเลย ถ้าเป็นคนอื่นๆ คงยาวถึงกลางหลังเข้าแล้ว มันยาวเพียงบางเส้นเท่านั้น เส้นที่อยากให้ยาวก็ไม่ยาว โดยเฉพาะที่ข้างขมับนั้นยาวเฉลี่ยไม่เกิน 7-8 ซม.  แถมเส้นก็บางแสนบาง ทำให้ผมมีเส้นผมด้านข้างไม่สามารถรวบเป็นหางเปียอย่างที่เคยตั้งใจไว้ได้ ขนาดใส่ยาบำรุงเส้นผมเท่าไหร่ก็ยาวได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น แล้วก็มาถึงบางอ้อว่าคงยาวได้แค่นั้นจริงๆ  เพราะวันนี้ในปี 2009  อีก 3 ปีกว่า ผมก็จะอายุ 60 ปีแล้ว

 จากความฝันหางเปียที่ยาวพาดไหล่เช่นเดียวกับปู่ทวดเลยกลายมาเป็นแค่หางจุกเท่านั้น!

 จะว่าไปแล้วผมค่อนข้างโชคดีที่ผมไม่หงอกเท่าไหร่นักทั้งศีรษะ มีไม่เกิน 30 เส้นเท่านั้น ส่วนใหญ่มีสีดำสนิท ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยย้อมผมเลย แลดูทำให้ผมดกดำ มีผมเยอะอยู่ ทั้งๆ ที่เมื่อช่วงปี 2540 ความเครียดได้ส่งผลกระทบให้ผมของผมร่วงลงไปอย่างมากมาย จากสมัยก่อนช่างตัดผมต้องใช้กรรไกรช่วยซอยให้ผมไม่หนามากจนเกินไป  

 ทุกวันนี้ผมต้องหาน้ำยาบำรุงเส้นผมมาใส่ไม่ได้ขาด ผมได้แต่หวังว่าอีก 5-10 ปีข้างหน้า  ผมด้านหลังคงจะยาวขึ้นอีก ความหวังที่จะเปลี่ยนจากจุกเป็นเปียยาวๆ คงมีโอกาสอยู่บ้าง ?

 นับตั้งแต่ผมบวชในช่วงอายุ 50 ปี รูปแบบและแนวทางการดำรงชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากพอควร รวมถึงการไว้ผมจุกได้ช่วยให้การเบนเข็มชีวิต จากที่เคยทำงานประจำนั่งอยู่ในสำนักงาน มาเป็นคนวางเป้าหมายและนโยบายช่วยแก้ปัญหา ซึ่งตามปกติบริษัทอมตะนั้นดำเนินการได้ดีอยู่แล้ว การที่มีคนช่วยคิดช่วยแก้ปัญหาที่ติดขัด ทำให้คนทำงานสามารถตั้งใจที่จะทำงานไปข้างหน้าได้โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง

 การไว้ผมจุก (หางเปียเล็กๆ) ย่อมเป็น “เครื่องมือ” ที่จะช่วยทำให้ผมหลุดพ้นจากภาพของนักธุรกิจและเป็นคนในสังคมเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ คงไม่มีใครคิดอะไรแผลงหรือเพี้ยนๆ เช่นผม โดยเฉพาะคนปกติทั่วไป ประกอบกับการที่ผมใช้ชีวิตอยู่ที่เขาใหญ่เดือนละกว่า 20 วัน ไม่ค่อยได้พบปะผู้คนด้วยแล้ว ยิ่งดูเหมือนจะพยายามตัดขาดห่างจากสังคมมากขึ้นๆ เรื่อยๆ

 ดังนั้น การที่ผมยืนยันอยู่เสมอว่า ผมจะไม่รับตำแหน่งใดๆ ทางการเมืองหรือทางสังคมจึงเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จากพฤติกรรมการไว้ผมจุกและการแต่งกายของผม

 ผมชอบการดำเนินชีวิตที่มี “อิสสระ” ทางความรู้สึกนึกคิด ทางการงาน รวมถึงการใช้ชีวิตแบบไม่ต้องยึดติดกับนาฬิกา (เวลา) หรือการกินอยู่ที่ไม่ค่อยเป็นเวลาเท่าใดนัก ทำทุกอย่างไปตามที่ผมอยากที่จะทำ โดยเฉพาะในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ผมเริ่มงานเขียนหนังสือในตอนกลางคืน ถือเป็นช่วงที่ผมมีความเป็นตัวของตัวเอง  ไม่ต้องรับโทรศัพท์หรือพูดคุยกับใคร

 รูปแบบการแต่งกายก็เปลี่ยนแปลงไปตามวิถีการใช้ชีวิต จากนุ่งกางเกงมาเป็นใส่โสร่งและผ้าฝ้ายบางๆ ที่เรียบง่าย พร้อมผ้าขาวม้าสีเทา-ดำ 1 ผืน โดยไม่ต้องคำนึงถึงแฟชั่นหรือรูปแบบใดๆ ผมชอบอะไรก็ใส่อย่างนั้น ทำให้สบายตัวมากขึ้น เพราะที่บ้านพักเขาใหญ่ผมไม่ใช้เครื่องปรับอากาศ ผ้าโสร่งก็เป็นเพียงผ้าฝ้ายบางๆ เท่านั้น การใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสมกับอากาศร้อนนั้นทำให้รู้สึกสบาย คงมีแต่ผมที่ยาวเท่านั้นที่ยุ่งยากและยังไม่ค่อยชินเช่นคนที่มีผมยาวมานานๆ

 ผมคิดว่ามนุษย์เราควรเคารพในความเป็น “ปัจเจก” มีความแตกต่างหลากหลายตามรสนิยมของแต่ละคน หากเราทำสิ่งใดที่เราชอบโดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ทำแล้วก่อความสุข มีความยุติธรรมบนความถูกต้อง มีเหตุมีผล ก็คงถือว่าเป็นคนดีและถูกต้องได้

 ผมสามารถเดินจากกฎกติกาหรือครรลองของ “สังคม” ที่แน่นหนาได้ ส่วนสำคัญเกิดจากการที่ผมมีฐานะทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและครอบครัวมีความเข้มแข็ง ผมไม่มีอะไรที่ต้องห่วงมากนัก การดำเนินชีวิตตามความต้องการตามธรรมชาติของผมจึงเด่นชัดขึ้น

 ผมขอยืนยันว่าผมไม่ได้ “ดัดจริต” หรือ “เสแสร้ง” ผมทำเพราะผมอยากทำ และมีความคิดกลับไปสู่ความเป็นตัวตนของผมเองที่ไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆ คงเป็นเช่นผีเสื้อที่บินล่องลอยไปเรื่อยๆ  ท่ามกลางธรรมชาติที่เป็นจริงของความเป็นผมอย่างแท้จริง...

 ด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อการเดินทางไปสู่อนาคตที่ผมเคยคาดหวังที่จะพานพบกับความสุขสงบที่เรียบง่ายจริงๆ

"วิกรม กรมดิษฐ์ "