
ชื่อเสียงความดังไร้ผล กับตัวตนของ 'เดอะทอย'
"ทอย" ธันวา บุญสูงเนิน ศิลปินหนุ่มสุดฮอตของพ.ศ.นี้ กับเรื่องราวที่หลายคนสงสัย วันนี้เขาจะเปิดทุกประเด็นที่หลายคนอยากรู้
ทีมบันเทิง คมชัดลึก - เรียกว่าเป็นหนุ่มฮอตในพ.ศ.นี้จริงๆ สำหรับศิลปินหนุ่ม "ทอย“ ธันวา บุญสูงเนิน หรือที่รู้จักกันในนาม ”เดอะ ทอย“ เจ้าของเพลงดัง “ก่อนฤดูฝน” ที่ฮิตติดลมบนทั้งบ้านทั้งเมือง ล่าสุดนักร้องหนุ่มได้ปล่อยเพลงใหม่ “ลาลาลอย (100%)” พร้อมกับอัลบั้มแรกในชีวิตที่มีชื่อว่า "SUN (ซัน)" ซึ่งงานนี้ “บันเทิง คมชัดลึก” มีโอกาสพูดคุยแบบหมดเปลือกกับนักร้องหนุ่มที่ถูกกล่าวขานมากที่สุดคนนี้
พูดถึงเพลงใหม่ล่าสุด ลาลาลอย(100%)
“ที่มาของเพลงนี้ตอนนั้นอยู่ในรถแล้วหันไปเห็นลูกโป่งมันอยู่นอกรถ เหมือนมีคนปล่อยทิ้งไว้ เป็นลูกโป่งที่ลอยได้ อาจจะเป็นจังหวะที่หัวเราโล่งพอดี ว่างพอดี ก็เลยจุดความคิด นำมาต่อยอด ผมมองไปไกลมากว่า มันเป็นลูกโป่งที่ลอยขึ้น หลายๆ คนอาจจะไม่ได้คิดว่ามันสามารถเอาไปมีเรื่องราว ผมมองถึงเวลาคนเราจะตกหลุมรักใครสักคน มันน่าจะคล้ายๆ กับลูกโป่ง ปกติเราชอบบอกว่า ตกหลุมรัก แสดงว่ามันต้องหนักถึงจะสะดุดแล้วตกหลุมรักคนๆ นึง แต่ผมว่าจริงๆ เวลาเรารักใครสักคน หรือแอบชอบใครสักคน มันลอยขึ้นเหมือนลูกโป่ง”
เห็นลูกโป่งแว๊บแรกเราคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเลยเหรอ
“ยังๆ พอหันไปเห็นแล้วผมรู้สึกว่า ลูกโป่งเป็นสิ่งที่ไม่แคร์อะไรเลย แม้กระทั่งแรงโน้มถ่วง หรือวัตถุอื่นๆ แต่ลูกโป่งไม่แคร์ ผมว่ามันเท่ดี ก็เลยขอยืมลูกโป่งหน่อย เอามาเขียนเป็นเนื้อเพลง จังหวะนั้นเราใจลอยด้วย มันหัวโล่ง ไม่ได้คิดเรื่องอะไร ไม่ว่าอะไรก็ตามถ้าเกิดเราปล่อยให้สมองไม่คิดอะไร เราจะยิ่งคิดในเรื่องนั้นๆ”
ทอยมีมุมมองในการคิดไอเดียเพื่อแต่งเพลงอย่างไร
“ก็ไปเรื่อยๆ อย่างเพลงนี้แว๊บแรกคือลูกโป่งมันเท่ด้วย อะไรที่เท่ๆ เราจะยิ่งอยากเข้าไปค้นหามันว่า ทำไมเอาใจแต่ใจอย่างนี้(ยิ้ม) อารมณ์นั้น ผมนั่งสักพักนึงแล้วก็คิดไปคิดมา คิดระหว่างจนถึงบ้าน ความคิดเราจะค่อยๆ ป๊อบอัพไปเรื่อยๆ ถ้าเกิดเราไม่ได้สนใจ เรานั่งมองแล้วมุมมองเราไม่เบิกบาน เราก็คงไม่สนในมันลูกโป่งจะลอยก็ลอยไปดิ เรื่องของมัน ตอนนั้นผมเบิกบานด้วยมั้ง(หัวเราะ) นอนเต็มที่เบิกบาน”
เราเป็นคนคิดงานตลอดเวลาไหม
“ตอนนั้นเราไม่คิดเลย ใจอยากจะกลับบ้าน นอนน้อย แต่สุดท้ายด้วยความที่เราอยากจับมาเป็นไอเดีย มันก็คิดไปเรื่อยๆ จริงๆ เนื้อเพลง ลาลาลอย เป็นอีกการนำเสนอนึง ผมเล่าว่าฉันจะพาเธอลอยออกไปทิ้งที่อวกาศ อวกาศจะมีแต่เธอคนเดียวไม่ต้องกลัว เพลงนี้ใช้เวลาคิดประมาณ 15 วัน โดยไม่ได้มีการวางโครงไว้ว่าจะเป็นเพลงรัก หรือเพลงอกหัก ผมลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ อะไรเป็นมุมมองที่เรายังไม่เขียนบ้างนะ ก็จะคิดถามตัวเองก่อน แต่ตัวเองก็ตอบไม่ได้(หัวเราะ)”
ท่อนแร็พในเพลง ลาลาลอย เหมือนทอยแต่งมาร้องเองคนเดียว ถ้าใครจะร้องตามคงต้องใช้เวลาฝึก ?
“อย่างเพลงแรก ท่อนที่แต่งเราอยากให้คนฟัง ไม่จำเป็นต้องร้องตามก็ได้ แค่ลองฟังเพลินๆ ไม่ต้องรู้เรื่องก็ได้นะ อาจจะฟังไม่ออกด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพราะร้องภาษาอังกฤษ แต่เพราะผมร้องไม่ชัดฟังไม่ออก(หัวเราะ) เพลงมันมีไว้สำหรับฟัง ตอนนั้นคิดอย่างนั้นนะครับ ตอนนี้ก็ยังคิดอย่างนั้นอยู่(หัวเราะ) เชื่อว่าเพลงผมมันเป็นเพลงไม่น่าร้องตาม ถ้าใครจะคัฟเวอร์เพลงเราต้องมีเวลาพอสมควร”
ณ วันนี้เพลงเดอะ ทอยส์ ต้องมีท่อนแร็พที่ร้องยากๆ ถ้าย้อนกลับไปได้เคยรู้สึกมั้ยว่า เราไม่น่าแต่งท่อนแร็พร้องทุกเพลงเลย
“ยังไม่เคยคิดครับ ยังโอเค ยังคิดถูกที่แต่งแร็พแบบนี้ ถามว่าใส่ท่อนแร็พเพื่อเป็นคาแร็กเตอร์หรือเปล่า ผมไม่เคยคิดไกลเลยนอกจากชอบ ผมชอบวง บอยซ์ทูเมน เพลงเขาเป็นอาร์แอนบีที่จะมีบางท่อนฟังไม่รู้เรื่อง ด้วยสัดส่วนอะไรบางอย่าง มันเป็นเสน่ห์ดีครับ”
ทำให้ทุกเพลงของทอยต้องมีท่อนแร็พหมดเลยไหม
“ครึ่งๆ ครับ ประมาณ 50% บางเพลงไม่มีแร็พก็เยอะเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องใส่ท่อนแร็พทุกเพลง ผมไม่ได้คิดไกล เวลาทำงานเอาแค่เราสนุก วางคอนเซ็ปต์เป็นเพลงๆ ไป ถามว่าต้องรักษาเอกลักษณ์ของเราไว้มั้ย ผมอาจจะไม่ต้องรักษาอะไรมาก เพราะว่าอย่างในหนึ่งเพลง ผมทำทั้งอยู่แล้ว เนื้อร้อง ทำนอง ดนตรี เรียบเรียง มิกซ์มาสเตอริ่ง ทุกเสียงที่ได้ยินในเพลงมันมาจากผมอยู่แล้ว ด้วยความเป็นเรามันไม่ได้มีไอเดียคนอื่นมาเลย มันก็ง่ายหน่อย คนฟังฟังแล้วจะรู้เลยว่าเป็นลายเซ็นของเรา”
เวลากลับไปมองงานตัวเอง ส่วนมากจะเป็นมุมมองแบบไหน
“ส่วนใหญ่จะเป็นลูเซอร์ อกหัก ขี้แพ้ ถามว่าการแต่งเพลงสำหรับเรามันมาจากชีวิตหรือเปล่า แรกๆ มันเป็นอย่างนั้น แต่หลังๆ ผมรู้สึกว่ามุมมองในชีวิตผมมันไม่น่าสนใจหรอก เราสนใจมุมมองคนอื่นมากกว่า บางอย่างเขาอาจจะไม่สนใจชีวิตเขา สมมติผมนั่งคุยกับคนๆ นึง เขาอาจจะไม่สนใจที่ตัวเองเป็นแบบนี้ แต่ผมสนใจ อันนี้ไม่ได้หมายถึงคนอย่างเดียว หมายถึงอะไรก็ตาม วัตถุ สัตว์ สิ่งของด้วย ถ้าเรามองไปแว๊บแรกเราจะรู้สึกว่ามันก็คือ วัตถุอย่างเดียว สมมติมองขวดน้ำที่ตั้งอยู่ ผมอยากเล่าเรื่องเกี่ยวกับมัน ผมอยากรู้ว่าก่อนจะมาเป็นขวดน้ำ มันผ่านอะไรมาบ้าง ไม่รู้มีคนคิดอย่างนี้มั้ย แต่ผมจินตนาการสูง ไปไกลแล้ว(หัวเราะ)”
สมมติให้ทอยแต่งเพลงจาก ขวดน้ำ มันจะเป็นแบบไหน ?
“วันนี้เราเดินเข้ามานั่งอยู่คนเดียว มองซ้ายมองขวาคนเยอะแยะไปหมด ขอบคุณนะที่อยู่ข้างๆ กันเวลาหิวน้ำ ผมก็มั่วไปเรื่อย(หัวเราะ) ชอบแรนด้อม”
พวกคำไวพจน์ต่างๆ ที่อยู่ในเนื้อเพลง ด้วยวัยเราไม่น่าจะคิดใช้คำเหล่านี้
“ผมชอบคำไวพจน์อยู่แล้ว เพราะตอนเรียนหนังสือก็จะสอบตกภาษาไทยบ่อย เราก็เลยไปฝึกทำการบ้านมา ฝังใจ เทอมต่อไปก็เลยได้เกรดสี่ อย่างคำว่า ดวงฤทัย สมฤดี ผมว่าเพลงอาร์แอนบีเขาไม่ค่อยเอามาใช้กัน เขาจะใช้ภาษาวัยรุ่นๆ ผมไม่อยากวัยรุ่น อยากย้อนไปตอนยุค 60-70 อยากรู้ว่าภาษาแบบนั้น ก่อนจะมาเป็นภาษาที่เราพูดทุกวันนี้ มันมีเสน่ห์ที่เป็นต้นกำเนิดของภาษาไทยบางคำด้วยซ้ำ ก่อนจะเป็นคำว่า ใจ ก็เป็น ดวงฤทัย มาก่อน ก่อนจะเป็นคำว่า ฟ้า ก็เป็น ท้องนภา มาก่อน ด้วยความชอบการเปรียบเปรย อุปมาอุปไมย โวหาร ซึ่งเป็นความตั้วใจใส่คำพวกนี้ลงไปในเนื้อเพลง แต่ก็มีคำภาษาอังกฤษอยู่ในนั้นด้วยนะ เอามาตัดเฉยๆ ให้มันมีสี”
คิดว่ามันจะเข้ากันไหม ถ้าเราเอาคำพวกนี้มาใส่ในเนื้อเพลง
“ไม่ได้คิดว่าเข้ากัน ผมชอบเอาอะไรที่ตัดกันมาอยู่ด้วยกัน เช่น สีสองสีนี้อยู่ด้วยกันไม่ได้ มันผิดกฎแม่สี ผมรู้สึกว่าจริงเหรอ ขอลองหน่อย”
ย้อนกลับไปก่อนจะมาร้องสไตล์นี้ เราเคยร้องเพลงปกติเหมือนคนทั่วไปไหม
“ผมไม่เคยร้องเพลงครับ ไม่เคยในที่นี้คือเราทำงานเป็นเบื้องหลังมาตลอด เราไม่กล้าจะออกไปข้างนอกด้วยซ้ำ ตอนแรกผมเป็นโปรดิวเซอร์อย่างเดียว ร้องไกด์ยังต้องจ้าง ไม่กล้าจะเอาเสียงตัวเองอัดลงไปเพื่อให้ศิลปินมาร้อง เราก็ต้องไปจ้างคนมาร้องไกด์”
แสดงว่าเราอายที่จะร้องเพลงเลย
“ร้องในห้องน้ำยังไม่กล้าเลย แม่(นิตยา บุญสูงเนิน) บอกเสมอว่า ผมเป็นศิลปินไม่ได้หรอก ผมเป็นนักร้องไม่ได้เลย เอาจริงๆ ผมก็ไม่เคยอยากเป็นนักร้องเหมือนกัน แต่ด้วยความบังเอิญของเพลงแรก ถ้าย้อนกลับไปเพลง น่าหนาวที่แล้ว ผมตั้งใจทำดนตรี สร้างเพลงนี้ขึ้นมาให้คนๆ นึงร้อง ซึ่งไม่รู้ว่าใครเหมือนกัน มองไว้ว่าเป็นศิลปินในค่ายหนึ่ง ผมทำเพลงส่งขายอยู่แล้ว พอดีว่าเพลงนี้ไม่ผ่านเขาไม่ได้ซื้อไป ไหนๆ ก็ทำมาตั้งนาน เสียดายเฉยๆ เราก็เลยปล่อยมันไปในยูทูบ ผมแค่เสียดายเพลง ผมชอบทุกอย่างในเพลงนี้มากๆ แต่สุดท้ายมันไม่มีใครซื้อ มันจมอยู่กับเพลงนี้นาน สรุปมันไม่มีเจ้าของ ความรู้สึกเสียดายมันปลดล็อกทำให้เราต้องร้องเพลง”
หลังจากร้องเพลงแรก จากนั้นได้ร้องเพลงอีกไหม
“ไม่ครับ ผมลืมไปเลยประมาณ 1-2 ปี แล้วก็กลับไปทำเพลงเหมือนเดิม ไปประกวดกีต้าร์ ไปทำโปรดิวซ์เหมือนเดิม แล้วก็ลืมไปเลย จนไปได้ยินเพลงนี้ในรถแท็กซี่ อยู่ดีๆ ได้ยินเพลงตัวเองในวิทยุ ใครแกล้งวะ ไม่ได้คิดว่าเพลงจะมีคนฟัง ผมก็งงมันเข้าไปอยู่ในนั้นได้ไง เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กยูทูบตัวเอง ผมไม่เคยเลื่อนมาเจอยอดวิวตัวเองเยอะขนาดนี้ นั่นคือครั้งแรกในชีวิต ตกใจมากๆ สำหรับผมตอนนั้นหลักหมื่นวิวคือเยอะมากนะ เพราะเราลงคลิปเล่นกีต้าร์คนดูแค่ห้าพัน สามร้อย(หัวเราะ) ตอนนั้นไม่ได้คิดเรื่องยอดวิว คิดว่าอายถ้าเพื่อนมาเจอ เราร้องเพลงมันแซวแน่นอน ไม่เอาหน้าตัวเองใส่ลงไปในเพลงดีกว่า ปล่อยไปในช่องยูทูบที่มีอยู่แล้วก็ลืมไป นี่คือจุดเริ่มในการร้องเพลง สันนิษฐานว่าเพลงไปอยู่ในวิทยุได้ เพราะคงมีคนฟังแล้วเอาไปขอ”
ได้เก็บค่าลิขสิทธิ์หรือยัง
“ตอนนั้นยังไม่ได้จด เราไม่ได้คิดอะไรกับเพลงนั้นเลย ถ้าตอนนั้นมีใครเอาไปจดแทนก็เป็นของเขาได้เลย เหมือนโอนลอย(หัวเราะ)”
ทำไมเราถึงไม่อยากร้องเพลง ทั้งๆ ที่แม่ก็เป็นนักร้อง
“ผมไม่ชอบร้องเพลงตั้งแต่แรก ผมชอบทำเพลง ชอบโปรดิวซ์ ชอบคิดงาน คิดไอเดียที่เราเป็นเจ้าของงานศิลปะชิ้นนึง แต่ไม่ได้อยากเป็นนักร้องเลย ไม่เคยอยากเข้ามายืนตรงที่สปอร์ตไลต์ส่องและถือไมค์อยู่ เพราะเราอายด้วย และไม่ใช่คนที่เอ็นเตอร์เทรนใครได้ พูดก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้น จะเล่าเรื่องอะไรก็ไม่มีเรื่องอะไรให้เล่า ชีวิตเราเรียบๆ และจะต้องร้องเพลงอีก”
ตอนนี้เราได้สัมผัสการเป็นนักร้องแล้ว
“ความคิดมันเปลี่ยนไปเยอะมาก เหมือนเกิดใหม่เลย ความคิดมันเปลี่ยนไปมาก ตอนนั้นด้วยความที่เรายังไม่เจอใครด้วย ผมอยู่คนเดียวในห้องตลอดเลย อยู่กับคอมพิวเตอร์ อยู่กับเครื่องดนตรี หลังๆ พอมีคนชอบในผลงานเรา มีคนติดตามเราเพราะผลงาน ทำให้รู้สึกว่าเขามาเติมมากๆ ทำให้เราอยากทำผลงานต่อไปเรื่อยๆ”
ก่อนหน้านี้ที่ขายเพลงให้ศิลปิน เราก็ต้องติดตามผลงานตัวเองว่าเพลงมันฮิตหรือดังมั้ย ตรงนี้ทำให้มีกำลังใจไหม หรือว่าขายเพลงได้เงินก็จบ
“ผมไม่เคยติดตามผลงานตัวเองเลย ถามว่าตอนสมัยเป็นมือปืนรับจ้าง แต่งเพลงให้ใครไปบ้าง มี ทอม รูม39 เป็นเพลงคัฟเวอร์โปรเจ็กต์ของพี่เขา มี 3 เพลง จำไม่ได้เพลงอะไรบ้าง, วง พริกไทย เพลง บ่น, นิว-จิ๋ว เพลง ถ้าตรงนั้นมีความสุข ผมเชื่อว่าศิลปินที่ผมมีโอกาสร่วมงานด้วยเขาดังอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องติดตามงานเราที่เขาเอาไปร้อง”
ธุรกิจแต่งเพลงขายเราขายขาด หรือแบ่งกันเป็นเจ้าของคนละครครึ่ง
“ขายขาดเลยครับ เราก็ได้เต็ม ตอนนั้นผมเริ่มตั้งแต่เพลงละ 1,500 บาท หลังๆ ก็ตามเลเวล คนเริ่มรู้จักเราในฐานะคนเขียนเพลง โปรดิวเซอร์แล้วราคาก็จะเพิ่มขึ้นไป”
เราแต่งเพลงแล้วเอาไปขาย หรือคนซื้อเขารีเควสเอง
“ผมทำได้สองแบบเลย แบบที่ชอบมากกว่าคือ ดูศิลปินก่อน นั่งคุยกับเขาแป๊บนึง อยากรู้มุมมอง ทัศนคติเรื่องความรักของเขา แล้วค่อยเขียนและก็ขาย”
อย่างศิลปินดังๆ เขารู้จักตอนเรามีชื่อเสียงแล้ว หรือรู้จักตั้งแต่ยังไม่มีชื่อเสียง
“ผมไม่เคยมีชื่อเสียงตอนเป็นโปรดิวซ์เลย แต่อยู่มาหลายปีมากนะ ถามว่าเขาเชื่อฝีมือเราได้ยังไง มันจะมีคนจ่ายงาน อารมณ์แบบโบรกเกอร์ ตอนนั้นก็ได้คุยกับศิลปินที่มาจ้างนะ แต่เขาคงแบบว่า ใครวะ เขาไม่ได้สนใจว่าคนที่จะแต่งเพลงให้คือใคร”
ก่อนจะมาเป็นนักร้องเพลงที่ขายแพงสุดราคาเท่าไหร่
“หลักแสนครับ ถามว่าตอนนี้ยังขายเพลงอยู่มั้ย พูดจริงๆ ผมไม่ได้ทำโปรดิวซ์นานมากแล้ว คือมันไม่มีเวลา”
ทำไมถึงเลือกที่จะขายขาด ไม่คิดอยากมีลายเซ็นเป็นลิขสิทธิ์ของเราเองเหรอ
“ผมแต่งเพลงได้เรื่อยๆ วันนึงถ้าจะแต่งจริงๆ ผมทำได้เรื่อยๆ เลย ก่อนจะปล่อยเพลง ลาลาลอย ออกมา ผมมีเพลงในสต็อก 1000 เพลง แล้วค่อยมาคัดทำเป็นอัลบั้มนี้ของตัวเองแค่ 9 เพลง ซึ่งทุกครั้งที่ปล่อยเพลงขายไป เพลงมันเยอะอยู่แล้ว ถ้าเปิดคอมให้ดูจะตกใจเพราะไฟล์มันเยอะมาก”
ใช้ระยะเวลาในการทำ 1000 เพลง เท่าไหร่
“ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มแต่งเพลงเลย นี่คือ 1000 เพลงที่ผมเก็บไว้ ถามว่ารู้ได้ไงว่าเพลงไหนมันจะดัง ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้ เอาไว้สุดท้ายไกลๆ เลย เอาจริงๆ ผมคิดแค่ว่าเพลงไหนที่มุมมองแบบนี้เรายังไม่ได้นำเสนอบ้าง แล้วแต่อารมณ์ เหมือนพรุ่งนี้อยากกินอะไร ผมว่าคำถามประมาณนั้นเลย อ๋อ กะเพรา อ๋อ ต้มยำ”
แต่เมนูที่เราเลือกมาค่อนข้างถูกใจคนทั่วไป
“ผมก็งงเหมือนกัน ผมไม่ได้คิดถึงตรงนั้นเลย ไม่รู้ว่าทำไม ทุกวันนี้ก็ยังหาคำตอบ ผมสุ่มเลือกตามอารมณ์ตัวเองเลย”
เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตเคยถามแฟนๆ ไหมทำไมถึงชอบเพลงเรา
“อาจจะไม่ได้ไปถามหรอก แต่ก็มีคนบอกมาเรื่อยๆ ว่าชอบเพลงทอย เพราะมันเป็นอย่างนี้ๆ เขาให้เหตุผลว่ามันอินดี้ มันแปลกใหม่ ส่วนตัวผมไม่ได้คิดอะไรเลย อยากเล่าเรื่องนี้ก็จะเขียนก็จบแล้ว”
ฟีดแบ๊กจากคนฟังไม่ได้มีผลต่อการทำเพลง หรือการเลือกเพลงของทอยใช่ไหม
“ไม่เคยมีนะครับ เพราะวันแรกมันไม่มี วันนี้ก็ยังไม่เคยมีเหมือนเดิม ผมไม่เคยสนความแมส"
ทอยไม่สนความแมสเลยใช่ป่ะ
“ไม่สนเลย ไม่เคยผมคิดว่า...จริงๆ ชอบความป๊อปนะ แต่ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะป๊อป ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องแมส เพราะว่าทำไม่ได้หรอก คือตั้งแต่ตื่น ตื่นมาก็ถามตัวเองว่าเราจะเป็นป๊อปได้ยังไง”
แต่ตอนนี้เราป๊อป เราแมสแล้วนะ ต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองยังไง
“ทาลิปมัน ปากแตก เวลาเราจะพูดเยอะๆ ก็ต้องกินน้ำ”
มีการดูตัวอย่างศิลปินของคนอื่นไหมว่าต้องทำตัวยังไง
“ดูดีตลอด ก็มีศึกษา ก็มีพี่เป๊กผลิตโชคเป็นตัวอย่าง เขาเป็นคนแบบว่าไม่ต้องมีสคริปอะไร ใช้ชีวิตสบายมาก คือถ้าเรามัวแต่มานั่งเกรงมานั่งกลัว ท่อง script เวลาเจอแฟนคลับ ผมว่ามันคงอึดอัด แต่ดูพี่เป๊กเขาสบายแฟนคลับ คือเพื่อนที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน ไม่ว่าจะนานแค่ไหน อะไรแบบนี้มั้ง”
แต่ทอยดูเหมือน จะมีวิถีทางของตัวเอง จากวิธีการแสดงออกแบบต่างๆ
“เอาจริงๆนะสิ่งที่ผมทำแล้วมีคนมองว่าผมตั้งใจที่จะสร้างคาแรคเตอร์ผมอยากถามว่าผมจะทำไปเพื่ออะไร คือสิ่งที่ผมทำเป็นสิ่งที่ผมสบายที่สุด เพราะตัวผมเองเป็นคนพูดไม่เก่งอยู่แล้ว เราก็เลยอยากที่จะรีแล็กซ์ไปเลยแล้วกัน ใครจะเข้าใจก็เข้าใจใครไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร”
คนที่เขาไม่เข้าใจ และวิจารณ์เราไปต่างๆนานาเรามีเก็บมาคิดบ้างไหม
“ไม่เลยนะขำด้วยซ้ำ ถามว่ามีคนบอกว่าผม ไม่แคร์โลกไม่แคร์ใคร คือมีคนบอกว่าผมหยิ่ง ผมก็เลยบอกเขากลับ ว่าจริงๆแล้วผมไม่เคยหยิ่งเลยนะ ผมออกจะเฟรนลี่ ขี้เล่น น่ารัก ใจดีสปอร์ต ซึ่งมุมแบบนี้ ผมจะแสดงออกแล้วแต่ความสนิท บางครั้งเราเพิ่งเคยเจอใครครั้งแรกผมก็จะพูดไม่ค่อยเก่ง คือเราเกรงใจเขาเราอยากฟังเขาพูดมากกว่า อย่างที่บางคนที่มาสัมภาษณ์ เราก็เลือกตอบตามที่เขาถามแล้วกัน แต่อย่างผมเจอพี่บ่อยแล้วไงผมก็เลยจะพูดมาก แต่กับบางคนที่เราเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกเราก็ไม่รู้ว่าเราจะต้องพูดยังไง แต่ถ้าคนที่รู้จักและมาใกล้ชิดกับผมก็จะเจอมุมแบบนี้ กับแฟนคลับหรือว่าแฟนเพลง ที่เขามาเจอเราบ่อยๆก็จะเห็นว่าเราก็เล่นกับเขาเพราะว่าเราก็เจอกันบ่อย”
แต่ว่าจริงๆแล้วทอยก็มีอีกมุมหนึ่งที่คนทั่วไปไม่เห็น
“ผมว่าก็เป็นกัน ทุกคนนะคนทั่วๆไปก็เป็น เพราะเราก็ยังไม่สนิทมากกับบางคนเราก็ต้องมีโซนปลอดภัยของเรา เพราะเราเพิ่งรู้จักกัน การที่เราเงียบมันเป็นการที่เราอยากเรียนรู้คนที่เข้ามา”
มีการปรับตัวในฐานะของการเป็นศิลปินไหม
“ก็เพราะแบบนี้แหละ แม่ผมถึงบอกความจริงเสมอว่าผมไม่ใช่เอนเตอร์เทนเนอร์ ทุกวันนี้แม่ก็ยังบอกอย่างนั้นอยู่เสมอ”
วันนี้แม่โอเค และเชื่อหรือยังว่าเราเป็นศิลปินที่ร้องเพลงได้
“แม่อาจจะไม่เข้าใจ ในเพลงของผมพร้อมแม่ชอบฟัง แจ๊ส หรือ ร็อคแอนด์โรล ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจแม่เหมือนกัน”
แต่วันนี้เราเป็นศิลปินแล้ว เคยกลับไปถามแม่ไหม
“ไม่ได้ถามเลย ซึ่งวันที่แม่ขึ้นร้องเพลงกับผมแม่สนุกมากและแม่ก็โอเค คือแม่ผมเป็นคนตลก แมวฮาๆ แม่ชอบเผาผมนั่นแหละงานถนัด ผมรักแม่นะ (ยิ้ม)”
มีบ้างไหมที่คิดจะแต่งเพลงให้แม่หรือร้องเพลงให้แม่ฟัง
“มีเพลงที่แต่งให้ แล้วลองกันสองคนเก็บไว้ฟังกันสองคนแม่ลูก อยู่หลายเพลงเหมือนกัน ซึ่งเป็นการทำเพลงสไตล์ผมแต่แม่เป็นคนร้อง ก็เหมือนเป็นเพลงตรงกลางแต่ก็ไม่ได้มีการปล่อยออกมาขายหรืออะไร เป็นเพลงที่ฟังกันสองคนแม่ลูก”
ก่อนหน้านี้บอกว่าแม่ไม่เชื่อว่าเราจะเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ได้ สำหรับเราตอนนี้รู้สึกว่าเราเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์หรือยัง
“เชื่อไหมว่าก่อนหน้านี้ผมพยายามมาก มีเป็น สคริปท์เขียนบท เพราะเรากลัวว่าเราจะเอนเตอร์เทนคนไม่ได้ แรกๆคือเก่งมาก พยายามทุกอย่างเพื่อให้เขาสนุกกับโชว์ของเรา ซึ่งพอทำไปแล้วเรารู้สึกเหนื่อย เพราะการพยายามทำอะไรมากๆ ทำนานๆมันก็เมื่อย เราก็เลยคลายมันออก พี่ต้องทำแบบนี้เพราะมีคนบอกให้ทำ ทำอะไรก็ได้ยิ้มก็ได้หัวเราะก็ได้ ซึ่งถ้าวันหนึ่งจะยิ้มประมาณพันกว่าครั้ง ซึ่งพอทำอย่างนั้นนานๆเราก็เมื่อยปาก ผมว่ามันก็คล้ายๆกัน แต่เรามีความสุขนะ”
มีไหมที่เราพยายามที่จะทำโชว์แบบที่มีสคริปออกมา แต่แฟนเพลงไม่เข้าใจและนิ่งไป
“มีนะแรกๆ คือตอนนี้หาดูไม่ได้แล้วนะ ไม่ใช่ว่ามันเป็นภาพในทางลบของเราแต่ตอนนั้นไม่มีใครถ่าย คือทุกคนไม่เข้าใจ ในตอนแรกๆ ซึ่งตอนนั้นน่ะเราก็เพิ่งไป ตอนนั้นสิ่งที่เราแคร์คือคนที่เขาจ้างเรามาเล่น คือเขาจ้างเราอย่างแพงเลย แต่เรากลับไม่สร้างประโยชน์อะไรให้กับอีเว้นท์ หรืองานของเขาเลย ซึ่งตอนนั้นเราเองไปดูแบบอย่างของศิลปิน ในการโชว์ว่าเขาทำกันยังไงดูเยอะมาก ดูหลายคนมาก พี่ทอม Room39 พี่เป๊ก-ผลิตโชค คือดูเยอะมากดูหลายคนมาก แต่สุดท้าย ยิ่งกลายเป็นว่าเราพยายาม พยายามที่จะทำตามสคริปต์ คนก็ไม่สนุกอยู่ดี แต่สุดท้ายที่คนสนุกทุกวันนี้ เพราะความเป็นเรามากกว่า คือไม่ต้องพยายามตบมุก อะไรเลย แค่แหวนเราตกคนก็ขำอยู่อย่างนั้น”
เคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลาเราพูดหรือทำอะไรแล้วคนจะขำเรา
“เออ...ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ซึ่งผมจริงจังมากซีเรียสตั้งใจ ก็ไม่รู้ว่าทุกคนขับทำไม อย่างเวลาจับไม้แล้วพอเอาไหมออกใบมันรูดแหวนที่เราใส่ไปด้วยแล้วแหวนมันตกคนก็ขำกันอยู่อย่างนั้น นานมาก ซึ่งตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าพลาดเซ็งเลยก็ หยิบแหวนขึ้นมาใส่ แต่ตอนนั้นเพลงรันไปแล้วครึ่งเพลง แต่ตอนนั้นผมกลับมาร้องคันนะ ตอนกลางเพลงแล้ว”
เคยคิดไหมว่าทำไมคนถึงชอบในตัวเรา
“เพราะผมตลก”
เหมือนตอนนี้ทุกคนเข้าใจความเป็นเรามากขึ้น
“มันเป็นธรรมดารวมถึงผมเองด้วย ในฐานะที่ผมเคยเป็นคนดู ด้วยความที่ผมแปลก ช่วงแรกๆคนก็จะไม่ค่อยเข้าใจแต่สุดท้าย มันก็ไม่จำเป็นที่ทุกคนจะต้องมาเข้าใจ เราสบายที่จะเป็นแบบนี้ กัปตัน หากเราพยายามมากๆท่องสคริปท์เก่งๆ เอ็นเตอร์เทนเก่งๆ แต่มันอึดอัด และผมว่า ตอนนี้ทุกคนเริ่มชิน เพราะที่ผ่านมาผมก็ไม่ได้หาทางของตัวเองเลย แต่เพราะความชินมากกว่า มันสบายไม่ต้องหายใจจุกอยู่กับอก เพื่อให้คนสนุกผมว่ามันไม่ต้อง คือถ้าคนจะสนุกก็สนุกแต่ถ้าไม่สนุกก็ทานน้ำไปก่อน ผมว่าชิวนะ เหมือนมันเป็นการชินในกันและกัน”
ถ้าย้อนกลับไปว่าตอนนั้นเพลงแรกเรามันไม่ดัง เราจะกลับไปอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม แบบเดิมไหม
“ตอนนี้ผมก็นั่งอยู่ทุกวันเสมอ ให้ถ้าย้อนกลับไป เพลงมันไม่ดัง ผมก็ยังเป็นโปรดิวทำเพลงเหมือนเดิม มีความสุขเหมือนเดิม ก็ไม่ต่างจากตอนนี้ เพราะว่าสำหรับผมความสำเร็จ ความสุขไม่ได้มาเพราะว่าเพลงดังหรือไม่ดัง แต่ขอว่าแค่เราเขียนเพลงแล้วมีความสุข เราไม่ได้เขียนเพลงเพราะหวังที่จะดังหรือหวังที่จะรวย เพราะถ้าเราอยากเขียนแบบนั้นเราต้องเขียนเพลงให้แมส เพราะหากผมทำแบบนั้นการที่ผมทำเพลงแมสเขียนเพลงให้แมสโดยที่ผมไม่ได้มีความสุขผมว่าเพลงมันก็จะไม่ชอบ เพลงน่าจะไม่ชอบหมายความว่าเวลาที่เราฟังเพลง เพลงก็ฟังเราไปด้วย เราทำเพลงเพลงก็ทำเราด้วย อันดับแรกของผมคือผมให้เกียรติตัวเองและก็ให้เกียรติเพลงของผม ผมเชื่อว่าถ้าหากจะให้ผมทำเพลงแม้แต่ผมก็ทำได้ แต่เพอาจจะรู้สึกว่าการที่เราสร้างเพลงขึ้นมาเพื่อหาเงิน”
แต่การที่เราจะมายืนอยู่ตรงนี้การที่เราทำงานเราก็ต้องการที่จะได้รายได้ได้เงินกลับมาไม่ใช่หรอ
“เอาจริงๆนะการทำเพลง 1 เพลงออกมาผมก็ได้เงินเยอะอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาเป็นศิลปินเป็นนักร้องการที่ผมทำเพลงรายได้มันเพียงพอต่อชีวิตผมแล้ว”
แต่ ณ วันนี้เราคือ The Toys ศิลปินที่ดังมากในยุคนี้
“ไม่เห็นแคร์เลยอ่ะ ดังไม่ดังผม ไม่แคร์นะ ผมมองแค่ว่าทำอะไรก็ได้ที่ผมมีความสุข ไม่จำเป็นที่ต้องทำแล้วคนเข้าใจหรือจะต้องทำแล้วเพลงฮิต แค่ผมทำแล้วมีความสุขในสิ่งที่ผมทำ คนจะบอกว่าให้ผมทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ไม่ให้ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ แต่ผมรู้สึกว่าแล้วไงอ่ะถ้าผมทำแล้วผมมีความสุขผมก็ทำ หลายคนก็พูดว่าทำไมผมไม่ทำเพลงที่ฟังง่ายๆร้องง่ายๆ ทำแต่เพลงอินดี้ คือผมอยากจะบอกว่าขอบคุณมากที่แนะนำ แต่แบบว่าผมไม่สน (หัวเราะ) ผมฟังคำแนะนำนะแต่ผมมาแฮปปี้ที่ผมจะทำแบบนี้ เขามีแอตติจูดที่ดีเขามีความคิดที่ดีแต่ผมอยากที่จะทำแบบนี้มากกว่า เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นจิตวิญญาณของผม และจิตวิญญาณมันขายกินไม่ได้ ผมแฮปปี้กับการทำแบบนี้”
แต่เพราะนะวันนี้ เดอะทอยเป็นศิลปินที่ดัง การทำเพลงจะยากแค่ไหนจะฟังยากแค่ไหน มันก็ดูง่ายไปหมดเรารู้สึกอย่างนั้นไหม
“ผมไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลยนะ และไม่เคยคิดอะไรอย่างนั้นเลยนะ”
ความดังน่ากลัวไหมสำหรับทอย
“ความดังมันน่ากลัว ในแง่ที่เราเข้าห้องน้ำมันน่ากลัว เวลาที่เราเข้าห้างและอยู่ในห้องน้ำ จะเล่าเรื่องนึงให้ฟังซึ่งผมอาจจะระแวงไปเองก็ได้ วันนึงเราไปเข้าห้างแล้วไปเข้าห้องน้ำ ก็มีคนเข้าห้องน้ำมาด้วยแล้วเขาก็ถามว่า เดอะทอย ใช่ไหม ซึ่งตอนนั้นอยู่ในขณะที่ว่าผมทำธุระอยู่ ซึ่งเวลาไปห้างที่ผมใส่แมสเพราะผมรู้สึกว่าผมไม่อยากรบกวนคนอื่น ทุกคนจะได้ทำธุระของตัวเองแบบสบายๆ การออกไปข้างนอกมาทำธุระหรืออะไรก็ตามสำหรับคนอื่นอาจจะไม่ลำบาก แต่คือผมชอบความเป็นส่วนตัว เราชอบอยู่ในโซนของเรา ไปไหนมาไหนสบายๆ ก็เลยอาจจะไม่ชิน”
แต่เมื่อวิถี ความดังมันมาถึงเราแล้วต้องปรับตัวยังไง
“ก็เลือกที่จะไม่ออกไปไหนอย่างทุกวันนี้ดูหนังก็ดูอยู่ที่บ้าน ผมไม่ได้กลัวคุณแต่ผมแค่ทำตัวไม่ถูก”
กลัวไหมว่าคนจะผิดหวังในตัวเรา
“ไม่เคยกลัวนะ แต่แค่อยากบอกว่าอย่าหวังอะไรในตัวผมเลย ถ้าไม่ชอบไม่เข้าใจหรือไม่ได้อินอะไรกับผมผมอยากจะบอกว่ามีศิลปินเก่งๆอีกมาก เขาสามารถเลือกดูได้ เพราะผมเองเป็นคนที่ท่องสคริปท์อะไรไม่ได้ทำอะไรอย่างที่หลายๆคนคาดหวังก็ไม่ได้ผมไม่ใช่เอ็นเตอร์เทนเนอร์อย่างที่แม่ผมบอกสำหรับผมคือเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สบายมากชิวๆ มีความสุขทุกครั้งที่ไป แล้วเจอเรื่องฮาๆ คืออย่างเวลาไปห้างหรือว่าไปที่ไหนแล้วเจอเรื่องตลกๆเยอะแยะ บางครั้งมันก็เป็นสีสันในชีวิตผมเอง ใครจะไปคิดว่าวันนึงจะมีคนมาแอบถ่ายตอนผมทำธุระอยู่ในห้องน้ำ ซึ่งก็จะเจอเรื่องแปลกๆแบบนี้อยู่เรื่อยๆ”
ณ วันนี้ถ้าถามว่าทอยเข้าใจในความดังมากขึ้นหรือยัง
“เอาจริงๆ เลยนะ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องเดียวที่ผมไม่สนเลยก็ได้ ตั้งแต่เรานั่งคุยกันมันเป็นเรื่องเดียวที่ผมไม่มองเลยเพราะผมรู้สึกว่ามันไร้ประโยชน์ความดังไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับชีวิตผม ผมรู้สึกว่าคนจะชอบชอบที่ผลงาน ไม่ต้องชอบผมนะ ชอบที่ผลงานของผม ดีกว่าแต่ถ้าคนจะไม่ชอบ ถ้าจะไม่ชอบผม ขอให้ตัดสินที่ผลงาน ผมอยากเป็นแค่ศิลปินที่วาดรูป เขาอยู่ข้างหลังรูปไม่เคยมีใครชมเขาทุกคนชมแต่รูป รูปสวยคนเดินมาถ่ายรูป อยากให้คนเป็นแบบนั้น บางครั้งก็ไม่อยากให้มายึดติดที่เราขอแค่ชอบที่ผลงาน”
แปลว่าถ้าเขาวิจารณ์ผลงานของเรา มากกว่าที่จะชื่นชมที่ตัวเราเราโอเคใช่ไหม
“ผมดีใจเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นการวิจารณ์เชิงบวกหรือเชิงลบ ผมดีใจผมรับและผมขอบคุณ และผมจะเอามาปรับใช้ในอนาคต ดี แฮปปี้”
แต่การเป็นศิลปินก็ต้องมีคนที่ชื่นชอบมีแฟนคลับที่ตามไปให้กำลังใจเรามองตรงนี้ยังไง
“ผมไม่ได้มองเขาเป็นแฟนคลับผมมองว่าเขาเป็นเพื่อน สมมติว่าเวลาที่ไปงานถ้าเรามีเวลามากกว่านี้เราก็อยากที่จะอยู่กับเขานานๆแต่มันก็มีหลายปัจจัยที่ทำให้เวลาตรงนั้นมันสั้นลง”
ต่อจากนี้ไปวางแผนชีวิตยังไงบ้าง
“ชิวทำเพลงเหมือนเดิม ถามว่าผมวางแผนอนาคตไว้ไหม คือพรุ่งนี้ผมกินอะไรผมยังไม่ได้วางแผนเลยอย่าว่าแต่กับอนาคตผมปล่อยให้มันเป็นไป โยนลูกบอลไปทางไหนลมก็พัดไปทางนั้น”
ณ วันนี้คิดว่าเราประสบความสำเร็จหรือยัง
“อย่างที่ผมบอกมาตั้งแต่แรกว่าผมประสบความสำเร็จตั้งแต่ผมเขียนเพลง ประโยคแรกแล้วมีความสุข ไม่เกี่ยวกับชื่อเสียงเลย ไม่เคยมอง ความสำเร็จของผมอยู่ที่ว่าผมทำอันนั้นแล้วผมมีความสุขเท่านั้นเองแฮปปี้เอนดิ้งเลย”
คิดทำอย่างอื่นในวงการบ้างไหม
“ในวงการก็น่าจะไม่มีอะไรอีกแล้ว ถามว่ามีหนังมีละครติดต่อมาไหมอันนี้ผมก็ไม่รู้แต่ถ้าถามตัวผมตอนนี้ก็คงยัง จำบทไม่ค่อยได้แล้วเราก็ acting ห่วยแตกมากเลยไม่เก่งเลยให้เล่นให้ตายคุณก็ไม่เชื่อ คือถ้าให้เล่นเป็นคนหลายคนก็ไม่เชื่อ จะให้เป็นพระเอกก็คงไม่ได้ ถามว่ามีคนติดต่อมาไหม ก็มีบ้างซึ่งผมก็จะบอกกับผู้ใหญ่และบอกกับทางค่าย เสมอว่า ขอบคุณมากๆแต่ผมขอเวลา เรียนรู้กับการอยู่ตรงนี้ และก็มีสติมากขึ้น ในการที่จะต้องจำบทหรืออะไรแบบนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันก็คงต้องไปเรียนการแสดงอะไรแบบนี้ด้วยมั้ง”
แต่ว่าก็เปิดโอกาสที่จะทำงานในวงการด้านอื่น
“ก็น่าจะสนุกถ้ามันทำนิดๆหน่อยๆแต่ว่าตอนนี้เราสนุกกับแบบนี้อยู่ สนุกมาก”
รู้สึกยังไงบ้างที่คนสามารถร้องเพลงเราได้ทั้งที่เพลงเราท่อนแร็พค่อนข้างที่จะร้องยาก
“รู้สึกว่าเขาน่าจะมีเวลามี 2 อย่างที่รู้สึก คือเรารู้สึกว่าเรารบกวนเวลาเขา เราว่าเวลาเขามีประโยชน์มากกว่ามานั่งแกะ เพลงของเรา และความรู้สึกอีกอย่างคือขอบคุณมากๆ ที่เอาเวลามีประโยชน์ตรงนั้นมา แกะท่อนแร็พของเรา เพราะความตั้งใจของเราไม่ได้แต่งท่อนแร็พมาเพื่อจะให้คนร้องตามได้ แต่ถ้ามีคนร้องได้ก็เป็นเรื่องดี เราก็รู้สึกว่าคุณเจ๋งว่ะ ที่สามารถเอาไอเดียบ้าๆ แบบนี้ไปร้องได้ คือผมไม่ได้คิดว่าใครจะร้องได้หรือไม่ได้เลยจะต้องแต่งเพลงท่อนแร็พให้มันเร็วขึ้นเพื่อให้คนร้องตามไม่ได้ผมแค่รู้สึกสนุกในการทำ”
รู้สึกยังไงที่ศิลปินคนอื่นๆมองว่าเราเป็นคู่แข่งที่