
"ซีซั่น ไฟว์" ประสานเสียงร่วมสมัย ห้าหนุ่มเด็กปั้น "ตี๋ แมชชิ่ง"
หายเงียบไปพักใหญ่ วันนี้ สมชาย ชีวสุทธานนท์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ตี๋ แมชชิ่ง ผู้บริหารเอเยนซี่โฆษณาชื่อดัง ลุกขึ้นมาผุดโปรเจกท์ใหม่ในชื่อ "ไอน์สไตน์ บาย แมชชิ่ง กรุ๊ป" ฝันพลิกโฉมงานบันเทิงทุกแขนงด้วยการเปิดกว้างจับคนที่มีความสามารถในทุกแขนงบันเทิงมาร่วม
สี่สมาชิกปัจจุบันของ "ซีซั่น ไฟว์" ซึ่งประกอบด้วย "เปา" บวร อัจฉรารัตนโสภณ (โทนเสียงเบส) "เจ" เอกพล สถิรากร (โทนเสียงเท็นเนอร์) "เอก" สุดเขต จึงเจริญ (โทนเสียงเท็นเนอร์) และ "จั๊ก" สิโรดม หล่อกัณภัย (โทนเสียงบาริโทน) เล่าถึงที่มาของวงให้ฟัง ว่าทั้งหมดเป็นเพื่อนที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนมาตั้งแต่ชั้นประถม กระทั่งขึ้นชั้นมัธยมได้มาอยู่ในคณะนักร้องประสานเสียงของโรงเรียนด้วยกัน
"เจชอบการร้องประสานเสียงอยู่แล้วแต่จะชอบในสไตล์อะแคปเปลล่า ซึ่งยุคนั้นเป็นยุคที่ออล โฟร์วัน แล้วก็บอย ทู เม็น ดัง คือเขาเป็นเหมือนไอดอล เป็นวงในฝัน เลยอยากลองทำวงแบบนั้นดู ก็เลยไปชวนจั๊ก เอก และเปา ฟอร์มวงขึ้นมา ตอนนั้นเริ่มแกะเพลงฝรั่ง ฝึกกันได้ประมาณ 1 ปีก็มีโอกาสไปร้องตามโรงแรมในงานเทศกาลคริสต์มาส งานแต่งงาน ทำอยู่อย่างนั้นไปๆ มาๆ ก็เป็น 10 ปี
ในช่วงหลังจากจบชั้นมัธยม เราแยกย้ายกันเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งแม้ว่าจะอยู่ต่างสถาบันกัน แต่ก็ยังร้องเพลงกันอยู่ จากนั้นเราก็มีโอกาสเอาผลงานเข้าไปให้ที่แกรมมี่ฟัง แล้วก็ได้ทำงานกับศิลปินหลายๆ คน เช่น ร่วมร้องประสานเพลงเปรี้ยวใจ กับ นิโคล เทริโอ ร้องประสานให้กับครูบิ๊ก เอเอฟ พี่ต้าร์ พาราด็อกซ์ จั๊ก ดับเบิ้ลยู รวมถึงได้ไปร้องในคอนเสิร์ตโอเพ่นฮาร์ดให้พี่มาช่า วัฒนพานิช นอกจากนี้พวกเรายังเคยมีผลงานของเราเองกับค่ายสนามหลวง ในอัลบั้มสนามหลวงคอนเน็ค ตอนนั้นเรานำเพลงเสียดาย ของพี่เบิร์ด (ธงไชย แมคอินไตย์) มาทำเป็นไฮบริดจ์ อะแคปเปลล่า" พวกเขาผลัดกันเล่า ผลัดกันเสริม
สี่หนุ่ม เล่าต่อว่าในช่วงแรกไม่ได้ตั้งใจจะทำงานด้านนี้จริงจังเพียงแค่ชอบร้องเพลงแนวนี้ แต่ด้วยประสบการณ์ที่ค่อนข้างเยอะ จากงานที่มีโอกาสไปร่วมร้อง จึงคิดว่าหากไม่ได้ทำอัลบั้มเป็นของตัวเองก็คงจะน่าเสียดาย
"การร้องในแนวอะแคปเปลล่าเป็นสิ่งที่เราทำมานาน เป็นสิ่งที่รัก ทำจนคุ้ยเคย เราได้เรียนรู้ความเป็นเพื่อนของกันและกันจากการที่ต้องช่วยกันร้องประสาน แม้ว่าต่างคน ต่างทำงานคนละสถานที่ แต่ทุกครั้งที่มารวมตัวกันร้องเพลง มันทำให้รู้ว่าพวกเรารักการร้องเพลงประสานเสียงในสไตล์นี้จริงๆ
วงการเพลงบ้านเรายังมีเพลงแบบนี้ไม่เยอะ เราอยากให้เพลงแบบนี้เกิดขึ้นมาให้เด็กรุ่นใหม่ที่อยากทำแต่ไม่มีโอกาสได้เห็นเราเป็นต้นแบบ ต่อไปเราก็อยากที่จะเดินเข้าไปตามมหาวิทยาลัย ไปร้องเพลง ไปเวิร์กช็อปเรื่องเหล่านี้ พวกเราอยากเป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้น้องๆ ซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นเพลงแนวนี้ก็ได้ จะแนวไหน หรือกิจกรรมอะไรที่แตกต่าง อยากให้น้องๆ กล้าที่จะลุกขึ้นมาทำมัน
ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว พี่ตี๋ทำหนังสือชีส แม็กกาซีน แล้วเอาพวกผมไปร้องเพลงในงานของหนังสือ เห็นความสามารถของพวกเรา และได้รู้จักกัน ตอนที่พวกเราทำเพลงเสร็จตั้งใจจะออกแบบอินดี้ ก็มาหาพี่ตี๋เพื่อถามถึงวิธีการทำงานต่างๆ พี่ตี๋ก็เลยบอกว่าไม่เป็นไร จะช่วยทำให้ พวกเราก็ดีใจมาก แล้วเรายังได้พี่แม็ค อะแคปเปลล่า เรียกว่าเป็นคนที่เข้าใจการร้องของวงเราที่สุดแล้วมาช่วยโปรดิวซ์อีกด้วย"
เมื่อถามถึงความพิเศษในการร้องอะแคปเปลล่าของทั้งสี่ หนุ่มๆ บอกว่านอกจากนี้แต่ละคนจะรับหน้าที่ในโทนเสียงของตัวเองแล้ว แต่ละคนยังสามารถสลับกันโซโล่ได้อีกด้วย ถ้าหากคนที่เคยฟังอัลบั้มในแนวอะแคปเปลล่า จะเห็นว่าส่วนใหญ่จะมีคนโซโล่เพียงคนเดียว แต่ในอัลบั้มของซีซั่น ไฟว์ ทุกคนจะผลัดกันโซโล่ได้ และไม่เฉพาะในอัลบั้มแต่บนเวทีก็ยังสามารถทำได้จริงด้วย
"คำว่า ไฮบริดจ์ อะแคปเปลล่า จะเป็นการนำแนวเพลงอะแคปเปลล่ามาผสมกับดนตรีสมัยใหม่ อาจจะมีอาร์แอนด์บี ดิสโก้ ฟังก์ เข้ามา เพื่อลบภาพเดิมๆ ที่อะแคปเปลล่าถูกมองเป็นเพลงประสานเสียงน่าเบื่อ ให้ดูมีสีสัน สนุกมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะประสานกับเสียงดนตรีแล้ว ยังประสานกับเสียงกลองที่เกิดจากคนทำเอง ก็คือบีทบ็อกซ์ อัลบั้มนี้จะมีทั้งหมด 10 เพลงเป็นเพลงใหม่ทั้งหมด มีเพลงคัฟเวอร์ 1 เพลง คือเพลงเจ้าหญิง ของพี่บอย โกสิยพงษ์ นั่นเอง
ในอัลบั้มนี้เรามีส่วนร่วมอย่างมาก ทั้งการประสานและแต่งเพลงเอง เรื่องเนื้อหาเราก็จะดูแลในบางเพลง หรือบางเพลงพี่แม็คก็จะทำมา เราไม่ได้ฟังเลย แล้วก็เอามาให้เราโซโล่ในห้องอัด อย่างเอกก็จะมาทำให้ส่วนแร็พภาษาอังกฤษ"
ถามต่อถึงชื่อวงที่จากเดิมก่อนหน้านี้เคยโปรโมทว่ามีสมาชิก 5 คน แต่จู่ๆ กลับเหลือแค่ 4 คนว่าเป็นเพราะเหตุใด หรือจะวงแตกก่อนที่จะดังซะแล้ว สี่หนุ่มตอบให้ฟังว่า
"จริงๆ เราเคยทำงานด้วยกัน 5 คน แต่เพื่อนอีกคนมีปัญหาด้านสุขภาพ เขาก็อยากให้เราทำต่อด้วย เราเลยใช้ชื่อเดิม ซีซั่น ไฟว์ พอเพื่อนออกไปพัก การทำงานก็มีการปรับเปลี่ยนบ้าง มีแก้ไขบ้าง แต่ก็ไม่ยาก เนื่องจากทุกคนก็สามารถร้องแทนตำแหน่งกันได้ ในแง่การประสานเสียงก็ต้องมีปรับนิดหน่อย ส่วนในเรื่องการร้องนำก็ คือต้องเปลี่ยนคนอื่นมาร้องแทน ซึ่งปกติแต่ละคนก็ผลัดกันร้องนำอยู่แล้วตามความเหมาะสมของแต่ละเพลง
เราคาดหวังว่าคนจะรู้จักสไตล์เพลงอะแคปเปลล่ามากขึ้น เพราะปัจจุบันคนฟังก็เปิดกว้างมากขึ้น คนรุ่นใหม่จะรู้ว่าแนวนี้ไม่น่าเบื่อ การร้องประสานเสียงสนุกยังไง ในต่างประเทศมีกันมานานแล้ว แต่ในเมืองไทยยังไม่ค่อยมีคนทำเท่าไหร่นัก เราอยากเป็นคนกลุ่มแรกที่ลุกขึ้นทำตรงนี้" สี่หนุ่มกล่าวทิ้งท้าย