ละครคือผลงานที่ยิ่งใหญ่ 'มิน' มองรักที่ความจริงใจ | คมชัดลึก

         พกความมั่นใจมาเต็มกระเป๋ากับการพลิกบทบาทมาเล่นร้ายครั้งแรก ในบท “เจ้าฟ้าทิพฉาย” จากละครเรื่อง “นางทิพย์” งานนี้สาว “มิน” พีชญา วัฒนามนตรี บอกว่าจะปังหรือจะพังก็ขอให้คนดูเป็นผู้ตัดสิน วันนี้ “คมชัดลึก บันเทิง” จึงขอมาร่วมสนทนาถึงผลงานการแสดงละครเรื่องล่าสุด “นางทิพย์” และแพลนชีวิตของนางเอกคนนี้ 

@ หายจากละครไปนาน

         หายไปปีกว่าแต่มินก็มีโฆษณาเรื่อยๆ นะ ส่วนละครเรื่อง “นางทิพย์” เป็นเรื่องที่เราตั้งใจมาก เรื่องนี้ที่คุยกับช่องไว้ก็ประมาณ 3 ปี ถ่ายทำก็ปีครึ่งแล้ว รวมๆ เตรียมบทด้วยอะไรด้วยก็ 3 ปี มันก็จะลิงค์ว่าทำไมหายไป คือเราไม่อยากเล่นละครพร่ำเพรื่อ ละครสำหรับมินคือผลงานที่ยิ่งใหญ่ พอเราอยากทำละครนั่นหมายความว่าเราอยากทุ่มเทแรงกายและแรงใจในการสร้างผลงานออกมา เพราะมันคือประวัติของเรา เราเล่นดี ไม่ดีไม่ก็จะขึ้นมาหมด เราก็เลยรู้สึกว่าเราไม่อยากทำงานที่มันเร่งๆ

@ บทบาท “เจ้าฟ้าทิพฉาย” ท้ายทายมาก

         ท้าทายเป็นบทที่เราอยากเล่นมาก บอกเลยว่ามินอยากเป็นนักแสดง ไม่ได้อยากเป็นนางเอกอย่างเดียว คือเรารู้สึกว่าการเป็นนักแสดงมันเป็นอะไรที่มากกว่านั้น และมันสนุก เวลาเราเห็นอาโย (ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา) อาดาว (ดวงดาว จารุจินดา) คือเขาเล่นเป็นอะไรก็ได้  เราเลยอยากจะเป็นคนที่เก่งในด้านการแสดงเหมือนเขา เวลาใครนึกถึงก็นึกถึงฝีมือการแสดง บท “เจ้าฟ้าทิพฉาย” ที่มินแสดงท้าทายในเรื่องของอินเนอร์ การเก็บรายละเอียด การแสดงใหม่ ภาพใหม่ๆ เราจะทำอย่างไรให้คนเชื่อเพราะคนส่วนใหญ่จะติดภาพนางเอกสายหวานของเรา ว่าเรามีมุมนี้ เราไม่ขัดหูหัดตา เรียกว่าเรื่องนี้เป็นการพลิกคาแรกเตอร์ครั้งสำคัญ เพราะเป็นบทที่เราไม่ห่วงสวยเลย เรื่องนี้เราขอที่จะเล่นอะไรเยอะมาก ถ้าเรายึดติดกับนางเอกจะไม่กล้าเล่นแน่นอน 

@ กระแสตอบรับที่กลับมาเป็นไงบ้าง

         เรื่องนี้กระแสดีมาตั้งแต่ยังไปเปิดกล้อง ถามว่าคาดหวังไหม เรียกว่าออกแนวตื่นเต้นมากกว่า ว่าจะตัดต่อออกมาเป็นอย่างไร เพราะในส่วนการแสดงเราทำดีที่สุดแล้ว ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของทีมงาน ทำงานกับค่ายมีเดีย ซีน โอเคนะ เรียกว่าเป็นค่ายโปรดเพราะพี่ขวัญ (พิมพ์อัปสร เทียมเศวต) เองก็เกินคำว่าผู้จัดสำหรับมิน คือเขาก็เป็นพี่ เราเข้าใจว่าเขาต้องการอะไรเราก็เป็นแบบที่เขาต้องการ เหมือนมาตรฐานเราเท่าๆ กันพอได้คุยกันมันก็ไม่ต้องคุยกันเยอะ มันก็ทำได้เลย ล่าสุดก็ไปเรียนเขียนบทด้วยกัน 

         หลังจากเรื่องนี้ก็มีละครที่กำลังถ่ายทำอยู่คือ “สองนรี” เรื่องนี้เล่นเป็นฝาแฝด แฟนๆ ก็จะได้เห็นผลงานเราต่อเลย นอกจากนี้ก็มีอีกเรื่องเป็นแพลนยาวๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่ว่าบทพร้อมไหม ค่ายพร้อมไหม มันไม่ใช่งานที่เป็นไปตามคำสั่งของเรา เราก็ต้องเข้าใจนิดหนึ่ง เราพร้อมเล่นก็ไม่ได้แปลว่าเราจะได้เล่น เราก็ต้องรอทุกฝ่ายเพราะมันเป็นการรวมตัวของคนจำนวนมาก 

@ มองอนาคตในวงการได้อย่างไร 

          เราก็ทำงานตรงหน้าให้ดีที่สุด รู้สึกว่าที่นี่เป็นที่ๆ สนุก และอยากให้วงการเมืองไทยเป็นอะไรที่สร้างสรรค์และพัฒนา เป็นอุตสาหกรรมที่คนรุ่นหลังเข้ามาแล้วดีกว่าเดิม ส่วนที่ไปเรียนเขียนบทไม่ได้เน้นทำเบื้องหลังนะ แต่มินเชื่อว่า บางทีถ้าเรารู้สึกอยากทำให้มันดี วันข้างหน้ามันอาจจะนำพาเราไปสู่อะไรที่เกินกว่าสติปัญญาเราจะมี เราไม่ได้คิดจะเป็นผู้จัดหรืออะไร เพราะแค่นี้เราก็รู้สึกว่าทุกวันนี้เราบริหารเวลายากเต็มที ซึ่งสิ่งเหล่านี้สอนเราให้เราทำได้ และต้องออกมาดีด้วยนะเพราะเราเป็นคนที่มีมาตรฐานของเรา ถามว่าทำหลายอย่างมีเบลอไหมก็มีแต่มินก็โชคดีที่มีคนสนับสนุนข้างเยอะ โดยเฉพาะครอบครัว

@ เวลามีปัญหาส่วนตัวปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ไหม

          ปรึกษาตลอด พ่อและแม่คือขุมพลังของมิน เรารู้สึกว่าถ้าเราจะก้าวไปข้างหน้าอย่างสร้างสรรค์อะไรบางอย่าง มันต้องเกิดจากกำลังใจก่อน มินเชื่อว่าคนเก่งๆ หลายๆ คนมีคนเบื้องหลังที่ไม่ได้ออกหน้าอีกเยอะ มินรู้สึกขอบคุณทุกวันที่มีคนพวกนี้อยู่ข้างหลังมิน และวันใดที่เราจะสนับสนุนเขา เราก็สามารถสนับสนุนได้เต็มที่ มันคือบทบาทของชีวิตที่เราเป็นให้กับทุกคนได้ คุณพ่อคุณแม่เหมือนหยินกับหยางคือท่านจะต่างกันมาก แต่พวกท่านคือความสมดุลย์ คือความลงตัวที่ดีมาก ขาดคนใดคนหนึ่งไม่ได้

          คุณพ่อจะเป็นแนวบู๊ เน้นประสบการณ์จริงและประสบการณ์เขาแน่นเป๊ะมาก เป็นเหมือนห้องสมุดประสบการณ์ชีวิตของมิน บางเรื่องเราไม่ต้องศึกษาเองเราแค่ถามคนที่เก่งกว่าเรา และขุมพลังนั้นต้องเป็นขุมพลังที่น่าเชื่อถือด้วย มินโชคดีที่มีคุณพ่อเป็นที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ ไม่พาเราเป๋แน่นอนและมีประสบการณ์มากพอที่จะสอนเรา ส่วนคุณแม่จะเก่งในเรื่องความอดทนและสภาวะจิตใจมาก ในเรื่องฟันฝ่าอุปสรรค ต่างๆ

          ท่านเคยสอนมินเรื่องหนึ่งว่า ถ้าวันนี้เรายังไม่เก่งไม่ว่าจะเรื่องอะไรมันไม่สำคัญ เพราะคนที่ต้องให้ความสำคัญคือคนที่ขยันมากกว่า เพราะฉะนั้นมินจะมีความเชื่อว่า เราทำได้ทุกอย่าง แต่ต้องให้เวลามินนิดหนึ่ง ถ้าเราเล่นละครหมื่นชั่วโมงเราก็จะเล่นละครเก่ง มันไม่สำคัญเลยว่าเราจะทำอะไร มันสำคัญที่ว่าเราจะเริ่มไหม และต้องทำให้เป็นมืออาชีพ ดังนั้นการเป็นมืออาชีพมันสำคัญมาก แต่บางเรื่องเราไม่ได้อยากเป็นมืออาชีพเราแค่ต้องการรู้ 

@ เรื่องความรักตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

          ก็ดี เป็นความรักที่ไม่หวือหวา เป็นอะไรที่ให้เกียรติกันมากกว่า ต่างคนต่างทำงาน ถามว่าเปิดตัวมากขึ้นไหม มันเหมือนกับว่าเรามั่นใจมากขึ้นมากกว่า มันเป็นอะไรที่มีวุฒิภาวะพอที่จะบริหารจัดการ คนบางคนก็อาจจะไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจก็จะระแวงว่าจะเอาชื่อเสียงเราไปทำอะไรที่ไม่ดีหรือเปล่า แต่สำหรับเราคือความจริงใจอยู่แล้ว เราให้เกียรติคนมากในเรื่องความรัก ถามว่าลงตัวไหม อาจจะเป็นเพราะเราเป็นผู้ใหญ่ เราทำงานมาเยอะ พอมีคนที่วุฒิภาวะเข้ากันตรงกัน มันก็สบายไม่ต้องกังวลเรื่องคิดต่าง 

@ วางแผนเรื่องอนาคตร่วมกันหรือยัง

          อย่าวางเลย วางมากก็ไม่ได้ เอาเป็นว่าให้สุขภาพจิตดี ดีกว่า แค่นั้นพอแล้ว เรื่องอนาคตมินว่ามันอยู่ที่คนมองเราก็ขอทำตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อนดีกว่า เรื่องความรักของเราที่บ้านไฟเขียวไหมต้องไปถามเขานะ ไม่มีทางรู้เลย มินว่าผู้ใหญ่เขาคงมองวันที่เราเลือกแล้ว คือวันแต่งมากว่า ก่อนหน้านั้นเขาก็ปล่อยเราสบายๆ เรื่องความรักของลูกๆ บ้านมินชิลมากๆ คือพ่อแม่ให้เกียรติมาก จะทำอะไรไม่ว่า เราก็ชัดเจนว่าไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่นอน มินว่าการแต่งงานคืออีกก้าวของชีวิต รักออกแบบไม่ได้ เมื่อเราพร้อมคือเราพร้อม มินไม่เคยสนใจเลยว่าเราต้องแต่งงานอายุเท่านี้ มินอาจจะแต่งตอนอายุ 50 ก็ได้ ขอให้จิตใจเราพร้อมจะก้าวไปอีกขั้นหนึ่งของชีวิต หรืออาจจะไม่แต่งก็ได้ไง คือเราโอเคกับชีวิตตอนนี้ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแต่งงานคืออะไร ทำไมต้องแต่ง ถามว่าเคยคุยเรื่องเหล่านี้ไหม เราไม่เคยคุยนะ แต่เคยพูดในความจริงใจว่าถ้าคนนี้จริงใจอนาคตก็ดีเลย 

เรื่อง เสาวลักษณ์ ปึงทมวัฒนากูล

ภาพ กอบภัคร พรหมเลขา