บันเทิง

มหา’ลัย สยองขวัญ

มหา’ลัย สยองขวัญ

29 ต.ค. 2552

น่าจะกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของหนังผีไทยไปแล้วนะครับ ที่มักใช้วิธีเล่าเรื่องแบบ ‘Omnibus’ โดยแบ่งหนังออกเป็นเรื่องสั้นหลายๆ เรื่องจบในตอน ซึ่งอันที่จริงหนังที่กรุยทางความสำเร็จของการเล่าเรื่องแบบนี้มีมาตั้งแต่ 8 ปีก่อนจากหนังอย่าง “ผีสามบาท” “ทรี อารมณ์ อาถรรพ

  ถ้าวิธีคิดของฮอลลีวู้ด แพร่กระจายลุกลามไปยังคนทำหนังทั่วโลก โดยเฉพาะการเล่าเรื่องแบบกระชับฉับไว ตัดต่ออย่างรวดเร็วชนิดแช่ภาพไว้ไม่เกิน 3 วินาที ต้องรีบเปลี่ยนคัททันที หรือไม่ก็เล่นกับอารมณ์วูบวาบ หวามไหวของคนดูตลอดเวลา ด้วยการเค้น บิวท์ โขก ไปให้สุดทาง ก่อนจะพักหายใจหายคอ แล้วกลับมาขยี้อารมณ์กันต่อจนจบ เพราะฉะนั้นหนังที่เล่าเรื่องด้วยวิธีการแบบนี้ จึงไม่สามารถทำให้ผู้ชมตกตะกอนทางอารมณ์และจมจ่อมห้วงความคิดเอาไว้กับหนังได้  พูดง่ายๆ หนังทุกวันนี้ไม่ค่อยทำให้คนดู ‘ตกอยู่ในภวังค์’ เหมือนเมื่อก่อน เพราะมัวแต่เอาล่อเอาเถิดอยู่กับการเล่นสนุกของวิธีจัดการบริหารอารมณ์คนดู ให้เป็นไปตามต้องการ อาจจะด้วยวิธีเล่าเรื่องแบบหวือหวา ฉับไว ทั้งในด้านกายภาพกับลูกเล่นของการสร้างภาพและเสียง  (Visual & Audio) ที่ทั้งแปลกตาหรือแสบแก้วหู และทางภาวะอารมณ์ (Emotional) ด้วยการปรับเปลี่ยนเหตุการณ์ บรรยากาศ ตัวละคร หรือสถานการณ์ที่ตัวละครต้องพบเจอไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้คนดูเกิดอาการเบื่อหน่าย หากต้องปล่อยให้เขาดำดิ่งกับสภาวะเดิมๆ ในหนังต่อไป (ซึ่งนั่นอาจเป็นการลดทอนความรู้สึกของการดื่มด่ำ และเข้าถึงหนังอย่างลุ่มลึกของคนดู) ทำให้หนังทุกวันนี้มีสถานะเป็นเพียงความบันเทิงชั่วครู่ชั่วยาม มากกว่าที่จะเป็นงานบันเทิงชั้นดีที่น่าจดจำ

 การที่หนังผี (ไทย) ทุกวันนี้ หันไปเล่นกับวิธีเล่าเรื่องแบบ ‘Omnibus’ คือแบ่งย่อยเรื่องราวในหนังออกเป็นตอนสั้นๆ นอกจากจะเปิดโอกาสให้คนทำได้ทดลองเล่าเรื่องได้หลากหลาย เหมือนคืนกำไรให้แก่ผู้ชมได้ดูหนังหลายๆ เรื่องในเวลาเดียวกันแล้ว วิธีเล่าเรื่องแบบนี้ยังเปิดช่องให้ง่ายต่อการเล่นกับอารมณ์คนดู ไม่ว่าจะเป็นการบีบอัดอารมณ์เขย่าขวัญได้อย่างไม่บันยะบันยัง เพราะถ้าปล่อยให้หนังเล่าเรื่องยาวๆ รวดเดียว ก็อาจจะต้องมีการผ่อนหนักผ่อนเบา ค่อยๆ ลำดับเรื่องราวไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าบทไม่แน่นพอ หนังก็จะน่าเบื่อ หรือถ้าการกำกับไม่ดี คนดูก็จะพาลรำคาญเอาดื้อๆ ที่สำคัญ ถือเป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์พอสมควร ถ้าคนเขียนบทจะต้องสร้างพล็อต คิดมุก กำหนดสถานการณ์เขย่าขวัญให้เกิดขึ้นต่อเนื่องตลอด 90 นาที กับเนื้อหาในระนาบเดียวกัน หรืออาจเป็นเรื่องยากลำบากของผู้กำกับเช่นกันในการออกแบบหรือจัดการทุกองค์ประกอบในหนังให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อสร้างอารมณ์หลอกหลอน สะดุ้งคนดูได้ตลอดเวลา (ถ้าใช้วิธีคิดแบบหนังฮอลลีวู้ด ที่ต้องกระตุ้นคนดูให้ติดตามหนังทุกขณะจิต โดยไม่เว้นช่องว่างให้พักหายใจบ้าง) แต่ไม่ว่าจะเป็นหนังผี 3 ตอน 4 ตอน 5 ตอน จะมากหรือน้อยกว่านี้ก็ตาม หากบทหนังขนาดสั้นที่เรียงร้อยอยู่ด้วยกันไม่น่าสนใจพอ ระยะเวลาสั้นๆ ที่เอื้อต่อการเล่าพล็อตอันหลากหลาย ก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้พอ และหากเวลาอันจำกัด ที่อาจส่งผลดีต่อการเล่าเรื่องให้กระชับ สุดท้ายกลับทำให้หนังขาดๆ เกินๆ แล้ว ดูเหมือนคนทำหนังซึ่งไม่ว่าจะใช้วิธีเล่าเรื่องแบบไหน ก็อาจทำให้ตกม้าตายเอาดื้อๆ

 มองเผินๆ หนังอย่าง “มหา’ลัย สยองขวัญ” น่าจะเดินตามรอยความสำเร็จของหนังผี ‘ซอยสั้น’ เรื่องที่ผ่านๆ มาได้ไม่ยาก โดยเฉพาะจุดเด่นอยู่ที่การหยิบเอาเรื่องราวคำร่ำลือถึงความอาถรรพณ์ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งหลายคนเคยรับรู้มาก่อนมารวบรวมและเรียบเรียงขึ้นมาใหม่ พร้อมกับตีความและแตกประเด็นให้หนังมีความร่วมสมัย แต่สุดท้ายดูเหมือนข้อได้เปรียบที่ว่า จะกลายเป็นความคาดหวังอย่างสูงที่ถูกเรียกร้องจากคนดู แต่ที่สำคัญถ้าหนังไม่สามารถตอบสนองได้จะเกิดอะไรขึ้น?

 จะว่าไปเรื่องสั้นทั้งสี่ที่เกิดขึ้นใน “มหา’ลัย สยองขวัญ” ล้วนถูกเรียงร้อยได้อย่างกลมกลืน และให้อรรถรสของการรับชมได้ค่อนข้างหลากหลาย หนังเปิดด้วยตอน ‘ศาลในห้องน้ำหญิง’ ที่สนุกกับการอัดอารมณ์ลุ้นระทึกให้เกิดขึ้นตลอดเวลา ตั้งแต่การผูกเรื่องให้ตัวละครมาเจอกัน การสร้างสถานการณ์หลอกหลอนซ้ำซ้อน ย้ำแล้วย้ำเล่า แต่ก็ยังรู้สึกหวาดผวาได้ทุกที เป็นหนังผีที่ไม่จำเป็นต้องจบแบบหักมุม แต่ก็ทำให้ผู้ชมสนุกกับลุ้นระทึกได้ตลอด มาถึงตอน ‘ลิฟต์แดง’ ที่ดูเหมือนเรื่องเล่านี้จะอยู่ในการรับรู้ของคนทั่วไปมาเนิ่นนาน จากจุดเริ่มของเหตุการณ์ที่ถือเป็นประวัติศาสตร์ ซึ่งพอนำมาใช้ในหนัง คนเขียนบทก็หยิบนำเหตุการณ์ดังกล่าวมาตีความใหม่ กลายเป็นเรื่องร่วมสมัย ที่แม้ความน่ากลัวจะถูกลดทอนลงไป แต่ทว่าก็ได้อารมณ์สะเทือนใจไปอีกแบบ ล่วงมาถึงตอน ‘ศพหายในห้องดับจิต’ ที่เปลี่ยนบรรยากาศมาเล่นกับอารมณ์ขันมากขึ้น ก่อนจะปิดท้ายกับ ‘ป๊อก ป๊อก ครืด’ เรื่องสยองขวัญสั่นประสาทซึ่งเป็นที่โจษจันกันมานาน เล่าขานผ่านสื่อต่างๆ หลายต่อหลายครั้ง และจะว่าไปตอนนี้น่าจะเป็น ‘ไม้ตาย’ ของหนังก็ว่าได้ แต่การเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยจริตของหนังฮอลลีวู้ด กลับบั่นทอนความพรั่นสะพรึงของหนังลงไปเกือบทั้งหมด แทนที่จะหลอนคนดูด้วยเรื่องราว บรรยากาศ  และชะตากรรมของตัวละครที่แม้จะถ่ายทอดกันมาจากปากคำที่เล่าต่อกันเป็นทอดๆ ก็ชวนให้รู้สึกขนลุกได้แล้ว แต่พอเป็นหนังคนทำกลับเลือกที่จะเล่าในอารมณ์อีกแบบ

 แม้หนังบางตอนจะไม่เป็นไปตามความคาดหวังของผู้ชม แต่เส้นกราฟทางอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งเกิดในหนังเรื่องนี้ น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่สนับสนุนความคิดของการทำหนังผีแบบ ‘Omnibus’ ในขณะนี้ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลกับทุกเรื่องเสมอไปก็ตาม


ชื่อเรื่อง : มหา’ลัย สยองขวัญ
ผู้เขียนบท - กำกับ : บรรจง สินธนมงคล, สุทธิพร ทับทิม
นักแสดง : ปานวาด เหมมณี, ภัณฑิลา ฟูกลิ่น, อาชิรญาณ์ ภีระภัทร์กุญช์ชญา, ปองสิชฌ์ พิศิษฐการ, แอนนา รีส
เรตติ้ง : น.18+ หนังที่เหมาะกับผู้ชมอายุ 18 ปีขึ้นไป
วันที่เข้าฉาย : 21 ตุลาคม 2552

"ณัฐพงษ์ โอฆะพนม"