
(คลิป) 'เวียร์' ปลื้มตัดสินใจไม่ผิดแสดงหนัง 'มะลิลา'
"เวียร์" ศุกลวัฒน์ คณารศ ภูมิใจใน "มะลิลา" เป็นตัวแทนภาพยนตร์ไทย ที่จะได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศ ในการประกาศรางวัลครั้งที่ 91
ทีมบันเทิง คมชัดลึก - เมื่อ "สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ" ให้ภาพยนตร์ "มะลิลา" ของผู้กำกับ "นุชชี่" อนุชา บุญยวรรธนะ ที่นำแสดงโดย "เวียร์" ศุกลวัฒน์ และ "โอ" อนุชิต ที่ออกฉายเมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้เป็นตัวแทนประเทศเพื่อเข้าชิงกับภาพยนตร์ของประเทศอื่นๆในเวทีประกาศรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 91 สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศ ล่าสุด "บันเทิง คมชัดลึก" ได้มีโอกาสเจอหนุ่มเวียร์ นักแสดงนำของเรื่องนี้ จึงถามถึงเรื่องนี้
ภาพยนตร์ "มะลิลา" ได้รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนหนังไทยคัดเลือกเข้าชิงออสการ์
"จริงๆ แล้วแต่ละประเทศจะส่งภาพยนตร์ 1 หรือ 2 เรื่องตามโควต้า ซึ่งประเทศไทยได้รับสิทธิ์เสนอได้ 1 เรื่อง เพื่อที่จะเข้าไปคัดเลือกจากทั่วโลก ซึ่งก็เยอะมาก เปอร์เซ็นต์ที่จะได้เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าแค่นี้ก็เป็นความภูมิใจให้กับทีมงาน เป็นความภูมิใจให้กับนักแสดง โอเคเราเต็มที่กับการทำงานแล้ว คือคนไทย คนที่ทำภาพยนตร์เห็นถึงว่าเราน่าจะมีโอกาสมีคุณภาพในเวทีระดับโลก ซึ่งผมเองทราบข่าวพร้อมกันกับทุกคนและผู้กำกับ เพราะผู้กำกับคุณนุชชี่โทรมาหาผม"
ผู้กำกับนุชชี่รู้สึกยังไงบ้าง
"เขาเองตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น เขาเอาภาพยนตร์ไปฉาย คือก็ไปฉายอยู่เรื่อยๆ มีเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศที่ประเทศไหนก็จะมีคนบอกให้เราเอาหนังเอาภาพยนตร์เรื่องนี้ไปฉาย ซึ่งเขาเองก็เดินสายตลอดก็ไม่ค่อยได้อยู่ที่ประเทศไทย วันนั้นเขาโทรมาเขาก็บอกว่าเธอๆ มีข่าวดีจะบอก ซึ่งผมเองก็ดีใจกับนุชชี่ด้วย"
จะมีโอกาสที่จะไปร่วมงานออสการ์ไหม
"ในตอนนี้ยังไม่ได้คุยกันถึงเรื่องนั้นเลย เพราะตอนนี้เหมือนทางทีมเขาก็อยากที่จะโปรโมทอาจจะเอาภาพยนตร์มาฉายอีกรอบหนึ่ง หรือจะเป็นนิทรรศการภาพยนตร์จัดเพื่อให้รู้ว่าภาพยนตร์ไทยของเราได้มีโอกาสได้รับคัดเลือกไปเข้าชิงออสการ์ สมมติว่าถ้ามีโอกาสที่ภาพยนตร์ได้เข้าชิง ถามว่าผมจะเดินทางไปไหม คือเรื่องนี้ผมยังไม่ทราบ แต่ถ้า ณ เวลานั้นจริงๆ ก็คงต้องไปด้วยกันกับทางทีมงาน"
เวียร์มีลุ้นไหมว่าภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะได้เข้าชิงเป็น 5 เรื่องหรือ 9 เรื่องสุดท้าย
"ถ้าพูดจริงๆ ก็ไม่ได้ลุ้นหรอกครับ แต่ว่าของแบบนี้มันก็ไม่แน่ คือเราก็แอบหวังเล็กๆ ว่าสิ่งที่ตอนนี้เรามาได้เท่านี้ก็ถือว่าสุดยอดมากแล้ว ถ้าถามผมว่าสำหรับผมภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จมากแค่ไหนผมถือว่าตัวผมเองเล่นภาพยนตร์น้อย เพราะว่าส่วนใหญ่อาชีพหลักก็คือเล่นละคร ตอนที่เราตัดสินใจครั้งแรกการที่เราเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ มันน่าจะเป็นประโยชน์กับเรา ในเรื่องของการแสดงหรือการได้ร่วมงานกับทีมใหม่ๆ บ้าง เพื่อนร่วมงานใหม่ๆ ที่เปลี่ยนไปนั่นคือสิ่งที่ผมต้องการแค่นั้นเอง แต่สิ่งที่มันได้รับมาเรื่อยๆ ทั้งเรื่องภาพยนตร์ประสบความสำเร็จทั้งที่เป็นภาพยนตร์นอกกระแส เป็นภาพยนตร์ที่ต้นทุนต่ำ เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ฉายทั่วๆ ไป ซึ่งพอมันมาประสบความสำเร็จแบบนี้ ผมก็รู้สึกว่าเราตัดสินใจถูกและดีใจไปกับทีมงาน เพราะเขาตั้งใจมาก เขาตั้งใจมากจริงๆ เขาใช้เวลาทั้งหมดเกือบ 10 ปี เขาใช้เวลาเขียนใช้เวลาหาโลเคชั่นมันใช้เวลานาน ใช้เวลาปรับนั่นนี่ ใช้เวลานาน มันเป็นงานที่เราก็ไม่เข้าใจในตอนแรก ว่ามันต้องใช้นานขนาดนั้น อย่างเราถ่ายละครเรื่องหนึ่งก็เต็มที่ โปรดั๊กชั่น อะไรต่างๆ ก็ปีเดียว แต่อันนี้เขาทำถึง 7 ปีเลยเหรอ คือผมดีใจแทนทีม โดยเฉพาะคุณนุชชี่เนี่ย ผู้กำกับเขาตื่นเต้นมาก น้ำเสียงเขาตอนที่โทรมาหาผม ผมก็เออ...ดีๆ ผมก็บอกเขาว่า ดีใจกับเธอนะ"
ความรู้สึกดีใจมันต่างจากตอนที่เราเดินสายรับรางวัลหรือเปล่า
"จริงๆ ผมดีใจมาแล้วล่ะ ตอนนั้นมันสุดแล้ว แต่ว่าตอนนี้มันก็เพิ่มขึ้นอีก คือส่วนตัวผมคิดว่ามันจะจบแล้ว แต่มันก็จะมีปีหน้าที่เราอาจจะเอาภาพยนตร์ลองไปตามเทศกาลต่างๆ อีกหลายเทศกาลที่เรายังไม่ได้เข้าไป ปีหน้าเขาอาจจะไป แต่ตอนนี้พอมีข่าวนี้มาก่อน ว่าเรามีข่าวดีแล้ว"
หลงเสน่ห์งานภาพยนตร์ไปเลยไหม
"จริงๆ ผมว่าผมก็ยังต้องศึกษาอีกเยอะ มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเอง เพราะว่าผมเองถือว่ามีประสบการณ์น้อยมากในการเล่นภาพยนตร์"
ในเมื่อเรื่องนี้มัประสบความสำเร็จขนาดนี้มันมีผลต่อการตัดสินใจเล่นภาพยนตร์เรื่องต่อไปของเราไหม
"จริงๆ ไม่หรอกครับ อย่างที่เราทราบกันดีว่าในทุกๆ งาน เราเต็มที่หมดแหละ แต่ว่ามันจะดีมากดีน้อยหรือแป้ก หรือดีมากๆ มันมีโอกาสเป็นไปได้หมด แต่ถ้าเรารู้สึกว่าเราเต็มที่ ทีมเต็มที่ ผมก็ไม่สนว่าถ้าเล่นเรื่องต่อไปแล้วกระแสไม่ดีเท่า เพราะว่าผมถือว่าผมเต็มที่กับทุกงานที่ผมได้รับแล้ว"
แล้วมีถูกทาบทามบ้างไหม
"ก็ไม่ค่อย แต่ก็มีมาบ้าง เพราะว่าอย่างที่ทราบกันดีว่าคิวหลักๆ ของเราก็ต้องถ่ายละคร ถ้าเราไปรับอย่างอื่นมากเกินไป มันก็ส่งผลต่องานหลัก เดี๋ยวจะโดนต่อว่าได้ ถามว่าหลังจากนี้จะมีไหม ก็อาจจะมีไปคุยนิดหน่อย เพราะว่าผมก็คงต้องทำการบ้านเยอะ อย่างที่บอกว่าภาพยนตร์มันไกลตัวผมมาก ผมว่าถ้ามีเวลาทุกคนทำได้ ทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้ ศึกษาเวิร์กช้อป ทุกคนทำได้หมด ทุกคนมีโอกาสที่จะก้าวไปเวทีระดับโลกได้ทุกคน"



