บันเทิง

ลูกทุ่งเพื่อชีวิต "อ้อย กะท้อน" 
"สาวรำวง" ที่เปลี่ยนไป

ลูกทุ่งเพื่อชีวิต "อ้อย กะท้อน" "สาวรำวง" ที่เปลี่ยนไป

16 ต.ค. 2552

วันทนีย์ เอียดเอื้อ (ชื่อปัจจุบันเปลี่ยนเป็น เปรมสิณี) หรือ อ้อย กะท้อน นับเป็นนักร้องเพื่อชีวิตที่มีแฟนคลับหนาแน่นคนหนึ่ง ซึ่งแม้เพลงที่สร้างชื่อเสียงให้แก่เธอจะมาจากแนวเพลงเพื่อชีวิตที่มีเนื้อหาหนักแน่นอย่าง “สาวรำวง” ในฐานะนักร้องนำวงกะท้อนก็ตาม แต่หล

  ทีมข่าว ”คม ชัด ลึก“ ได้นัดพูดคุยกับเธอถึงงานเพลงชุด “น้ำตาไม่ไหลคืน” เพลงลูกทุ่งเพื่อชีวิตในแนวซึ้งกินใจชุดล่าสุดของเธอในชายค่าอาร์สยาม
 ที่ผ่านมาภาพอ้อยจะมาจากเพลงสนุกวันนี้เปลี่ยนไป

 คนฟังอาจจะชอบที่เราถ่ายทอดเพลงช้าได้ดีเลยกลายเป็นที่มา
 แนวเพลงช้า คนฟังสมัยที่เป็นอ้อย กระท้อนนั้นก็ยังมีภาพเราเป็นคนไม่เรียบร้อยเจอมาแต่เพลงโจ๊ะๆ  เคยร้องเพลงช้าเพลงแรกคือ “ริมน้ำน่าน” แต่ก็ไม่ได้เชียร์เขามาเชียร์เพลงเร็วมากกว่า พอมาร้องเพลงช้าคนก็ชอบอาจเป็นด้วยวัยของเราด้วย
ก่อนหน้านี้มีเพลงเร็วแต่ไม่ได้เอามาเป็นจุดขาย

วันนี้ยังเป็นเพื่อชีวิตที่เปลี่ยนจากเดิมไหม
 ภาพเป็นเพลงเพื่อชีวิตที่สโลว์ลงต่างจากเดิม เพลงช้าวันนี้ยังเป็นเรื่องราวความรักที่แบ่งได้หลายอย่าง  แล้วแต่ละคนที่จะมาให้เรา ภาพเป็นนักร้องเพลงเร็วแต่ถ่ายทอดเพลงช้าได้ดี แฟนกลุ่มเก่ายังจำภาพสาวรำวงได้ แต่กลุ่มใหม่เขาจะไม่รู้ว่าเราเป็นแบบไหน แต่ก็ยังร้อง ”สาวรำวง” อยู่แฟนเพลงรุ่นป้าๆ ก็ยังเต้นกันยังขอกันอยู่ทุกที่

เพลงชุดนี้จะต่างจากเพลง "นึกเสียว่าสงสาร" ที่อยู่ในค่ายรถไฟดนตรีอย่างไร
 ไม่แตกต่างเป็นความรักที่แตกต่างหลายอย่าง แต่ชุดนี้มันรักหลายอย่างมาก แล้วแต่เพลงที่เขาแต่งให้

เวลามาร้องเพลงช้าดูเหมือนเป็นคนละคนกับเมื่อก่อน
มีคนเคยถามเหมือนกัน ถ้าเขาฟังแต่เสียง เด็กรุ่นใหม่ที่ไม่เคยฟังเพลง "สาวรำวง" เขาไม่รู้จักว่าเราเป็นใคร  ถ้าเป็นแฟนเพลงเก่าๆ เขาก็จำภาพลักษณ์เก่าๆ นั้นได้เหมือนเป็น 2 กลุ่มกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มที่ฟังเรา ตั้งแต่สมัยเป็นอ้อย กะท้อน กับอีกกลุ่ม คือเด็กรุ่นใหม่ที่ฟังพี่ร้องเพลงช้า ไม่เคยฟังพี่ร้องเพลงเร็วเลย

อยากร้องเพลงเร็วในแบบสาวรำวงบ้างไหม
 ยังอยากทำเพลงสนุกอยู่อยากทำเพลงแบบ "บุญแข่งเรือ" อยากทำ "สาวรำวง" อยู่ เอาแบบเป็นเต้นๆ ร็อกๆสนุกๆ ไปเลย ยังไหวอยู่ ตอนนี้ยังใหม่กับบ้านหลังนี้ ตอนไปคงได้เข้ามาคุยกันอีกในชุดต่อๆ ไปตอนนี้เริ่มทำงานแล้วเขามีการวางแนวมาจาก "นึกเสียว่าสงสาร"  เขาคิดว่าเราน่าจะอยู่ในแบบนี้

กระแสเพลง "เรารักกันไม่ได้" เป็นอย่างไร
 ก็ดีนะมีกระแส คนถามถึงเยอะเพิ่งวางได้เดือนกว่า  ชุดนี้ก็มีเพลงเร็วแต่ไม่เร็วขนาดสามช่าโจ๊ะแรงๆ  เรื่องราวจะเบาขึ้นเป็นเรื่องใกล้ตัวสัมผัสได้ ไม่ใช่เรื่องแรงๆ เหมือนสมัยกะท้อน ที่เป็นเรื่องแข็งแรง เพราะความเป็นแบนด์มันแข็งแรง  แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว  ไม่ว่าจะมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างบีบคั้นสังคม เราต้องการให้งานฟังสบายขึ้นเบาบางขึ้น  คนฟังเอาไปคิดเตือนใจ  ฟังแล้วได้อะไร ชุดนี้การตอบรับเร็วกว่า จังหวะเวลาหลายอย่างมันประกอบกันอยู่

คิดอย่างไรกับการตอบรับจากแฟนเพลง
 วิธีการร้องอาจเปลี่ยนบ้างในเรื่องเพลงช้า ตอนอยู่กะท้อนมันสนุกสนานมากกว่าการร้องก็กระชับๆ  เสียดสี   มาชุดนี้มีการพูดถึงเรื่องราวที่เบาขึ้นเด็กฟังได้จับต้องได้เป็นเรื่องราวความรักที่มีอยู่ในตัวทุกคน  แฟนกลุ่มเก่าเขายังตามอยู่ ยิ่งย้อนกลับไปตอนอยู่วง "สองวัย" ลูกหลานเขายังฟังอยู่เขาเห็นเรามาตั้งแต่นั้น เรามาได้เด็กรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นมา

การทำงานวันนั้นต่างจากวันนี้ไหม
 ต่างนะเรื่องทีมงานที่ร่วมกัน การถ่ายทอดเป็นกรอบที่ตั้งไว้แล้ว อย่างตอนทำกับน้าซู(วงกะท้อน)จะบอกวีธีการร้อง แต่พอมาทำเดี่ยวเราต้องคิดเอง เราต้องถ่ายทอดด้วยสำเนียงการร้องที่เป็นแบบเรา เรื่องราวก็ต่างกันสมัยนั้นพูดเรื่องแรงได้พอออกมาคนเดียวเราเป็นผู้หญิงจะพูดเรื่องอะไรที่แรงๆ มันจะดูไม่น่ารัก

ขณะที่นักร้องรุ่นเดียวกันเลิกไปหมดแล้วแต่เรายังขายได้
 เราไม่รู้ระยะเวลาการทำงาน วันนี้เหมือนเราเป็นสินค้าตัวหนึ่ง ถ้าต่อไปทำเพลงออกมาแล้วยังขายได้อยู่ แต่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่ถ้ามันทำออกมาแล้วมันนิ่งๆไม่ขายงานไม่ไปด้วยตัวเองก็คงหยุด แต่ไม่รู้ว่าจะเลิกเมื่อไหร่

ขณะวงดนตรีเก่ากลับมากันมากคิดอยากจะทำเหมือนเขาไหม
 ไม่เคยคิด คือทีมแต่ละคนต่างมีเส้นทางแต่ละคนกันไป มันรวมได้เฉพาะกิจ แต่ทำงานร่วมกันมันอาจจะยังไม่ได้เพราะพี่ก็มีเส้นทางเดินแบบนี้แล้ว พี่ๆทุกคนก็เลือกเดินในแบบที่เขาชอบไปแล้ว ด้วยทางค่ายและทางตัวของพวกเขาด้วย

มองลูกทุ่งกับเพื่อชีวิตอย่างไร
 แยกยากนะ เมื่อก่อนเพื่อชีวิตชัดเจนมาก ลูกทุ่งก็จะจ๋าไปเลย ตอนนี้มันเอามารวมกันหมดแล้ว มันกว้างขึ้นสมัยก่อนถ้าพูดถึงเพื่อชีวิตเขามีกลุ่มที่ชัดเจน แต่วันนี้อย่างคาราบาวคนก็ฟังทุกกลุ่มตลาดเปิดกว้างขึ้นคนเลือกที่จะบริโภคเพลงหลากหลายขึ้น