
คมเคียวคมปากา - จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง
เขียนต้นฉบับวันอังคารที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๒ แรม ๒ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด (สะเด็ดฝน สะเด็ดหนาว)
เลข ๖ ตุลาคม เป็นเลขหก เลขหาย เลขเด็ด เลขดุ เลขคม เลขเข้ม เลขร้อน เลขแรง เมื่อ ๓๓ ปีก่อน เกิดอะไรขึ้นในบ้านเมืองเรา หวังว่ามันจะยังถูกจดจำ และใช้เป็นบทเรียน ตอนนั้น ผมยังบวชเรียนอยู่ที่วิทยาลัยสงฆ์วังน้อย พระนครศรีอยุธยา ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ไม่ค่อยประสีประสาเรื่องการเมืองนัก รู้แต่ว่าคนไทยกำลังเข่นฆ่ากัน ได้ข่าวหลายคนตาย หลายคนบาดเจ็บ หลายคนทนไม่ไหวอีกต่อไป ต้องหนีเมืองเข้าป่า จับอาวุธประกาศให้การเข่นฆ่าเป็นทางออกสู่ชัยชนะของฝ่ายตน โดยที่คู่ต่อสู้นั้นก็คือ คนไทยด้วยกันเอง
คิดถึงบทกวีของ นภาลัย ฤกษ์ชนะ (สุวรรณธาดา) ที่เผยแพร่ทางโทรทัศน์
“ทุกวันนี้ ศึกไกล ยังไม่ห่วง แต่หวั่นทรวง ศึกใกล้ ไล่ข่มเหง
ถ้าคนไทย หันมา ฆ่ากันเอง จะร้องเพลง ชาติไทย ให้ใครฟัง”
ไม่น่าเชื่อ บทกวีคมคายคายแจ่มแจ้งสำนวนนี้ แต่งตั้งแต่ปี ๒๕๑๐ ก่อน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ก่อน ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ก่อนเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๕ และก่อนเหตุการณ์อื่นๆ อีกหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งสถานการณ์อึมครึม คนไทยจะฆ่ามิฆ่ากันแหล่อยู่เช่นทุกวันนี้
น่าเศร้า ที่เรามักต้องให้เสียเลือดเสียน้ำตาก่อนแล้ว ค่อยฟูมฟายเช็ดเลือดเช็ดน้ำตาให้กัน และเมื่อเช็ดเลือดเช็ดน้ำตากันแล้ว ค่อยฮึดฮัดหาเรื่องให้หลั่งเลือดหลั่งน้ำตากันอีก อนิจจา...
ว่าถึงบทกวีสำนวนนี้ สัมผัสนอก สัมผัสใน สัมผัสใจ ครบถ้วนกระบวนความ เป็นบทกวีที่น่าจะได้รับการให้เกียรติอย่างยิ่ง แต่ไม่น่าเชื่อ การนำไปเผยแพร่รณรงค์ให้คนไทยรักกันนั้น ช่างน่าสงสัยในเรื่องการให้เกียรติผู้ประพันธ์ ทั้งการขออนุญาต การระบุชื่อ และค่าลิขสิทธิ์ ยิ่งได้ยินว่าเจ้าตัวกวีไม่รู้เรื่องมาก่อน ยิ่งชวนให้สงสัยในวุฒิภาวะมารยาทของผู้ดำเนินการเรื่องนี้
ครับ เป็นความสงสัยที่น่าเศร้า ได้ยินว่ามีผู้สะกิดสะเกาไปบ้างแล้ว หวังว่าผู้ใช้ประโยชน์จากบทกวีจะให้เกียรติกวีตามสมควร ฟังว่าค่าใช้จ่ายแต่ละโครงการของหน่วยงานราชการ เป็นเงินทองจำนวนไม่น้อย อย่างโครงการร้องเพลงชาติอะไรนั่น เอาน้ำพริกละลายแม่น้ำไปไม่รู้เท่าไหร่? ไม่รู้จะทำให้อะไรดีขึ้นสักแค่ไหน? ว่ากันว่าบางที - หลายโครงการประมาณนี้ พอใช้งานดารานักร้อง ค่าตัวเพียบ แต่พอใช้งานกวี ค่าตัวนิดเดียว หรือไม่ก็อาจลืมกวีไปเสียเลย ทั้งที่ปากซีกหนึ่งพร่ำพูด กวีเป็นศรีของประเทศ อันเป็นการให้เกียรติแต่ปากเสียเป็นส่วนใหญ่
บทกวีคือบทเพลง บทเพลงคือบทกวี บทกวีข้างต้นของคุณนภาลัย หากขออนุญาตและซื้อลิขสิทธิ์ไปขับร้องเป็นเพลง ก็จะสามารถเป็นเพลงที่คนไทยร้องได้อีกยาวนาน (แม้ท่ามกลางสถานการณ์จะฆ่ามิฆ่ากันแหล่ของคนไทยด้วยกันเอง)
สำหรับคุณนภาลัย อีกบทกวีหนึ่งที่มีความหมายกินใจ และได้รับความนิยม น่าจะว่าด้วยสำนึกวันเกิด ผมเคยเล่าผ่านพื้นที่นี้หลายปีก่อน มีผู้สนใจจะนำไปใส่ทำนองเป็นเพลง แต่ยังเงียบหายไป ด้วยเงื่อนไขหลายประการ
“วันเกิดลูก เกือบคล้าย วันตายแม่ เจ็บท้องแท้ เท่าไหร่ ไม่เคยบ่น
กว่าอุ้มท้อง กว่าจะคลอด รอดเป็นคน เติบโตจน บัดนี้ นี่เพราะใคร”
“เลิกจัดงาน วันเกิด เสียเถิดนะ ควรที่จะ คุกเข่า กราบเท้าแม่
ระลึกถึง พระคุณ อบอุ่นแท้ อย่ามัวแต่ จัดงาน ประจานตัว”
เป็นบทกวีสวนกระแสสังคมที่อมตะ ได้รับความนิยมแพร่หลาย ถูกใช้อ้าง ทั้งระบุชื่อผู้แต่ง และท่องจำลอยๆ ราวกับตนเป็นผู้แต่ง หลายแห่งหลายชุมชน ถ่ายสำเนาแจกจ่ายไปทั่ว ทั้งติดไว้ตามวัด ร้านอาหาร ร้านตัดผม ร้านเสริมสวย แม้กระทั่งในเว็บไซต์ของโลกสมัยใหม่ ก็ส่งให้อ่านกันเกร่อ บางทีอาจเป็นเพราะ “ปมแม่กับลูก” นั้น เป็นปมของโลก เป็นปมของชีวิต
น่าดีใจกับผู้แต่ง ที่มีบทกวีไพเราะ สวยงาม ลึกซึ้ง กินใจ กลายเป็นบทกวีสาธารณะไปเสียแล้ว แต่ก็นั่นแหละ จะน่าดีใจและน่ายินดียิ่งขึ้นเพียงใด หากผู้แต่งจะถูกขานชื่อ และได้รับเกียรติมากขึ้น ตามการใช้ประโยชน์ทางคุณค่าความหมายอย่างกว้างขวาง
อย่าให้สังคมไทยต้องกลายเป็นสังคมที่...ใช้งานกวี แล้วทอดทิ้งกวี !
"ไพวรินทร์ ขาวงาม"