
ฟังชัดๆ จากปากลูกชายตามหาพ่อที่ชื่อดารา'ป'
แม่-ลูกทวงหาความเป็นพ่อจากดาราชื่อ ป.
กำลังเป็นประเด็นสำหรับกรณีแม่พาลูกออกมาตามหาพ่อที่เป็นนักแสดงอักษรย่อ ป. ที่ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา นักแสดง ป. ไม่เคยส่งเสียไม่เคยดูแลลูกชาย โดยเมื่อเวลา 13.00 น. ของวันที่ 22 มกราคม นางอิณธิรา นาธาน ผู้เป็นแม่ อายุ 47 ปี ได้พา นายติณห์มยุต เมี้ยนกลาง หรือเจมส์ลูกชาย อายุ25 ปี และนางลำจวง ทางกลาง เป็นคุณยายนายเจมส์ อายุ 74 ปี ได้โชว์เอกสารพร้อม ภาพถ่ายตอนบวชของฝ่ายชาย ใบเกิดของลูกชาย มายื่นเป็นหลักฐานประกอบการแถลงข่าวในครั้งนี้ ณ สตูดิโอ ตึก 3 ชั้น 7 บจม.อาร์เอส
โดยนางอิณธิรากล่าวว่าตัวเอง รู้จักกับนักแสดง ป. ที่กรุงเทพเมื่อปี 2532 เพราะทั้งคู่ทำงานที่เดียวกัน หลังจากนั้นก็คบหาอยู่กินฉันท์สามีภรรยาโดยไม่ได้แต่งงาน อยู่กันได้ 2 ปี ก็มีลูกชาย ซึ่งการมีลูกครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดพลาดแต่เราตั้งใจที่จะมีลูก แต่อยู่ด้วยกันได้เพียงแค่ 15 วัน เท่านั้นเราก็ต้องกลับไปอยู่ที่โคราช เพราะพ่อของเจมส์ บอกให้เรากลับไปอยู่โคราชเพราะเขาจะทำงานเพื่อหารายได้เพิ่ม ตอนนั้นเขากำลังจะเข้าวงการบันเทิง (นักแสดง ป. ได้ติดต่อกลับมาไหม) หลังจากที่เราอยู่โคราชได้ 7 เดือน คุณแม่ของพ่อน้องเจมส์ก็เสียชีวิต เราก็อุ้มหลานไปเผาแม่เขา หลังจากที่เรากลับมาเขาก็ไม่กลับมาหาลูกเขาอีกเลย (เคยทะเลาะเบาะแว้งอะไรกันไหม เพราะอยู่ดีๆ เขาก็หายไป) ไม่มีนะ จู่ๆ เขาก็เงียบหายไปเลย ก็ไม่ได้ทะเลาะกันไม่ได้อะไร แต่เขาอาจจะได้ยินว่าเราจะไปต่างประเทศเขาก็คงคิดเรื่องนี้ (เป็นไปได้ไหมคือเขาจะเป็นนักแสดงเลยไม่อยากให้ใครรู้ว่ามีลูกแล้ว) ก็อาจจะเป็นไปได้ คือตั้งแต่มีน้องแล้วเราก็ไปงานศพของคุณแม่เขา อยู่ๆ เขาก็หายไปเลย คุณยายก็ต้องดูแลหลาน ส่วนจะให้เราอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร เราก็ต้องดิ้นรนหางานทำเพื่อจุณเจือครอบครัว ช่วงแรกๆ ที่เราโทรติดต่อไป เขาก็บอกเราว่างานยุ่ง พอ เขาบอกแบบนี้ เราก็ไม่อยากรบกวน ช่วงนั้น ก็ทำใจไว้แล้วว่าเราต้องดิ้นรนเพื่อจุณเจือครอบครัว ( ที่ผ่านมาทำไมไม่ติดต่อนักแสดงป. แต่ทำไมเพิ่งมาติดต่อตอนนี้ ) เคยติดต่อไป แต่ติดต่อไม่ได้เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะในกองถ่ายเขาก็อยู่บ้างไม่อยู่บ้าง (ตอนลูกคลอดเขาเซ็นต์รับรองบุตร ก็มีเซ็นต์รับรองบุตร) ตอนแรกเกิดใช้นามสกุลพ่อ แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นนามสกุลตา สาเหตุที่เปลี่ยนนามสกุลเพราะตั้งใจจะเอาน้องไปอยู่ต่างประเทศด้วย แต่ได้ไปเที่ยวแค่ช่วงฮอลิเดย์เฉยๆ เพราะต้องให้พ่อเซ็นต์เอกสาร เราก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนนามสกุลน้อง และให้แม่เป็นผู้ดูแลอย่างเดียว (เปลี่ยนตั้งแต่เมื่อไหร่) อายุได้ 12 ปี (ตอนนี้ลูกชายอายุ 25 ย่าง 26 ทำไมเพิ่งออกมาตามหาพ่อ) คือเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ได้ 3-4 ปีที่ผ่านมา พอดีเพื่อนแนะนำให้มาออกรายการดูเผื่อลูกชายจะได้เจอพ่อ คือเพื่อนก็สงสารเพราะเห็นลูกถามเราตลอด และเราก็สงสารลูก เพราะตอนเป็นเด็กบางทีเขาก็นั่งเหม่อเราก็ไม่รู้ว่าเหม่อเพราะอะไร เราก็อยากให้เขาแสดงตัวว่าเป็นพ่อ (ถ้าสังคมมองว่าต้องการอะไรมากกว่านี้หรือเปล่า) ก็แล้วแต่ลูก คือจุดประสงค์ของเราแค่นี้ อยากให้เขาเห็นว่านี่ก็ลูก (คาดหวังไหม) ไม่เลย ตอนนี้เราทำหน้าที่ของแม่แล้ว นอกเหนือจากนั้นเขาจะติดต่อลูกไหมก็แล้วแต่เขา (ได้ยินเขาบอกว่าถ้าบอกเรือ่งนี้แล้วจะไม่มีที่ยืนเรารู้สึกอย่างไรบ้าง) ก็เฉยๆ นะ ไม่มีที่ยืนหมายความว่าอย่างไร เราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว เราเลี้ยงลูก โดยไม่เคยเจอหน้าพ่อนี่ก็น่าจะเยอะแล้วนะ ทำไมจะต้องไม่มีที่ยืนอีก คือเราไม่ได้ต้องการแต่อยากให้เขาออกมาแสดงความเป็นพ่อสักนิด ว่ามีความรับผิดชอบลูกบ้างไหม เพราะเราเองก็ไม่รู้จะอย่างไร เวลาลูกถามว่าทำไมพ่อไม่เห็นมาหาบ้างเราก็ไม่รู้จะตอบลูกอย่างไร ตอนแรกเราพยายามลืม แต่น้องเขาไม่ลืม (ทราบว่ามีเอกสารมาด้วยมีออะไรบ้าง) มีรูปถ่ายที่เราเคยไปเที่ยวด้วยกัน ตอนช่วงที่เราท้องได้ 7 เดือน ตอนนั้นเราไปเที่ยวที่กาญจนบุรี นอกจากนี้ก็มีรูปตอนที่พ่อน้องเจมส์บวชเป็นภาพก่อนน้องจะเกิด ส่วน รูปคู่ไม่มีเพราะภาพมันนานมาแล้ว นอกจากนี้ก็มีใบเกิดของเจมส์ คือตอนแรกเราตั้งชื่อน้องเจมส์ว่าเด็กชาย มณมนัส สุวรรณบาง แต่อยู่ได้พักหนึ่ง เขาก็มาเปลี่ยนชื่อลูกเป็น ติณห์มยุต ให้ลูก นอกจากนี้ก็มีใบเปลี่ยนชื่อซึ่งจะระบุชื่อบิดา-มารดาของบุตร แต่เราไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน (ครอบครัวพ่อน้องเจมส์ทราบไหมว่ามีลูกด้วยกัน) รู้นะ คือน้องอายุ 7 เดือนเรายังพาน้องไปงานศพแม่ของเขาอยู่เลย ญาติผู้ใหญ่ทราบหมดว่าเรามีลูกด้วยกัน กับหลานช่วงเด็กๆ เขาก็อุ้มดีนะ มีช่วงที่แม่เขาเสียที่เขาจะทำใจไม่ได้เขาก็เลยห่างจากเราไป เราก็ให้เวลาไปทำใจมาเยอะแล้ว ให้ทำใจมา 26 ปีแล้ว ด้วยความที่เราเป็นแม่เราก็อยากให้ลุกรู้ว่าใครเป็นพ่อที่แท้จริง ต่อจากนั้นก็เป็นเรืองพ่อและลูก (ตอนนี้กลับมาอยู่เมืองไทย) คือกลับมาอยู่กับแม่เพราะท่านก็อายุมากแล้ว และสามีที่อยู่ต่างประเทศก็เสียไปแล้ว เราก็กลับมาเมืองไทย ทำงานเล็กๆ น้อยๆ รายได้ไม่ค่อยมี ตอนนี้ก็ตกงานอยู่ ( วางแผนชีวิตหลังจากนี้อย่างไร ) ก็ต้องรอฟังก่อนว่าเขาจะออกมาพูดอย่างไร แล้วค่อยว่ากัน ถ้าเขามาแรงผมจะหยุดจะไม่สู้ต่อ (ถ้าพ่อดูอยู่อยากบอกอะไร) ก็บอกได้แค่รักพ่อ ผมมาหาพ่อแล้ว พ่อมาหาผมได้ไหม เราก็ทำหน้าที่พาลูกมาเจอพ่อแล้ว ถ้าคิดว่าตัวเองยังมีความเป็นพ่ออยู่ ก็ออกมาหาลูกด้วยก็แล้วกัน”
ในขณะที่ “เจมส์” ติณห์มยุต บอกว่าทราบตั้งแต่เด็กว่านักแสดง ป. คือพ่อของเราเพราะยายและแม่เคยบอกว่าพ่อเป็นนักแสดง ตอนแรกผมไม่ค่อยเชื่อ คิดว่าพูดเล่น เมื่อถูกถามว่าเคยติดต่อบิดาไหม เจมส์แจงว่า
“เคยติดต่อไปครั้งหนึ่ง ตอนอายุ 11 ขวบ คือผมเจอเบอร์เขียนว่า พ่อเจมส์ ไว้ที่ฝาบ้านเราก็เลยโทรไป แล้วพ่อก็รับสาย ตอนนั้นก็มีถามพ่อว่าสบายดีไหม พ่อก็ถามกลับว่าสบายดีไหม คือสาเหตุที่โทรไปเพราะผมอยากได้โต๊ะปิงปอง ก็เลยโทรไปขอพ่อ ซึ่งพ่อก็บอกจะส่งเงินมาให้ แต่หลังจากนั้นเขาไม่เคยติดต่อกลับมา และผมก็ไม่ได้โทรกลับไปอีกเลย เพราบ้านหลังนั้นมันโดนไฟไหม้ (เห็นว่ามีติดต่อไปหาพ่อผ่านทางเฟสบุ๊คด้วย) คือตอนนั้นผมอายุประมา 19 ก่อนเกณฑ์ทหารคือเพื่อนแคปหน้าจอมาให้ว่าเป็นเฟสบุ๊คของพ่อ ผมก็เลยเข้าไปกดติดตามไว้ เคยแต่กดไลค์แต่ไม่เคยเข้าไปพูดคุย ก็กดติดตามไว้ไม่ถึงปี จู่ๆ เฟสบุ๊คชื่อนี้มันก็หายไปทั้งๆ ที่ผมเปิดเฟสทุกวัน (คือพ่อทราบว่าเป็นเฟสของเราก็เลยเข้ามาบลอก) อันนี้ผมไม่ทราบ (ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่าง) ถ้าเป็นความรู้สึกเรือ่งโดนตัดขาดผมโดนมานานแล้ว ตอนนี้ผมโตแล้ว ผมแค่อยากมาเจอเฉยๆ ไม่ต้องการอะไร (ชีวิตความเป็นอยู่ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง) ก็ลำบากคือเราต้องเช่าบ้านอยู่ตั้งแต่ผมเกิด จนปัจจุบันนี้ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเองเลย (วันนี้ที่เราออกมาเรียกร้องเพราะต้องการอะไรจากนักแสดง ป. ) คือผมโตแล้วผมไม่ได้อยากได้เงินหรืออยากได้อะไรทั้งนั้น ผมแค่อยากเจอหน้าพ่อ อยากกอดตอนเป็นเด็กน้อยผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้โตแล้วก็เลยคิดนิดหนึ่ง (ได้ยินเขาบอกว่าถ้าบอกเรื่องนี้แล้วจะไม่มีที่ยืนเรารู้สึกอย่างไรบ้าง) ผมไม่รู้ว่าเกิดเรือ่งอะไร ผมก็ไม่อยากถามแม่มาก แต่ผมคิดอยู่แล้วว่ามันต้องเป็นเรื่องไม่ดี (ตอนนี้ยังอยากเจออยู่ไหม) คือผมตั้งใจมาแล้ว อยากเจอส่วนเจอแล้วจะทำอะไร จะพูดอะไรตอนนี้ยังคิดไม่ออก ขอเจอหน้าพ่อก่อน คือตั้งแต่แบเบาะมาผมไม่เคยเจอพ่อ (ถ้าพ่อไม่ยอมเจอล่ะ) ผมก็ยอมรับได้ ยอมรับได้มา 20 ปีแล้ว ( ทราบว่าน้องจบแค่มต้น ) คือช่วงนั้นอาจจะมีเกเรบ้างภาษาผู้ชาย ติดเพื่อน และไม่มีตังค์ด้วย คือช่วงวัยเด็กแม่ไปทำงานต่างประเทศ ท่านก็ส่งเงินมาให้ยาย เราก็อยู่แบบไม่มีพ่อไม่มีแม่ เหมือนเด็กกำพร้า (บอกชื่อคุณพ่อได้ไหม) “ปราบต์” ปราบต์ปฎล สุวรรณบาง” เจมส์ กล่าวปิดท้าย