
‘โต๋’ กับเส้นทางวันนี้ ที่ไม่ใช่แค่ไต่ขึ้นที่สูง
"โต๋" ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้มใหม่ "Chapter 1" ที่เขาตั้งใจทำเพื่อความสุข
เรียกว่าเป็นศิลปิน-นักร้องมากความสามารถคนหนึ่งในวงการ หลังจากที่ห่างหายจากงานเพลงไปชิมลางงานใหม่ๆ เกือบ 2 ปี ล่าสุด “โต๋” ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร ก็ได้ฤกษ์ออกอัลบั้มใหม่ และในวันที่ 24 ก.พ.นี้โต๋จะจัดงานแฟนมีตติ้ง ที่ ศูนย์การค้าโชว์ดีซี เพื่อบอกเล่าถึงเรื่องราวอัลบั้มนี้ พร้อมกับพบเจอแฟนคลับที่อยู่กับเขามานาน และด้วยวาระดีๆ แบบนี้ “บันเทิง คมชัดลึก” ได้มีโอกาสพูดคุยกับนักร้องหนุ่มถึงเรื่องนี้
@ เล่าถึงการทำงานในอัลบั้มนี้ก่อน
ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมาผมได้ปล่อยซิงเกิ้ลออกมา 5 ซิงเกิ้ล ตั้งแต่ “ฝากมากับดวงดาว” “รักจริงจริง” “Everyday” และที่ทุกคนรู้จักกันดีคือ “ปรากฎการณ์” “เวลาของเรา” ซึ่งมันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมีอัลบั้มเต็ม ซึ่งอัลบั้มของเรามีทั้งหมด 12 เพลง โดยจะวางในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2561 ชื่ออัลบั้มว่า “ชัตเตอร์วัน” หมายถึงการเริ่มต้นใหม่คือการรีสตาร์ท มันเหมือนกับเราเขียนหนังสือมันจะเป็นการเริ่มบทใหม่ มันเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงของทุกๆ คน เราเลือกความว่าชัตเตอร์วันมาเพื่ออธิบายคำว่าเมเจอร์เชนท์ตรงนี้ ที่ผ่านมามันจะเป็นการอธิบายตัวเราแต่เป็นแบบมุมใหม่ พลิกไปมาจนมาถึงวันนี้ เมเจอร์เชนท์มันเริ่มต้นที่เพลงต้องเปลี่ยน แต่มันเริ่มที่ตัวตนเราต้องเปลี่ยน พอตัวเราเปลี่ยน วิธีคิดเราเปลี่ยน ชีวิต จิตใจ มุมมองเราเปลี่ยนเพลงมันก็เป็นแค่ผลลับ ผลลับมันออกมาในเพลง มันออกมาในวิธีการพูดการโพรฟอร์ม มันเปลี่ยนตัวเราเยอะมาก ก็ไม่รู้เหมือนกัน มันเหมือนอยู่ช่วงหนึ่งมันเปลี่ยนของมันเอง ผมหยุดไป 2-3 ปีเพราะว่า ผมรู้สึกเบื่อ มันเหมือนเดิม เพราะเราออกอัลบั้มมาตลอด เราเป็นศิลปินมาเป็น 10 ปี 10 ปีแรกเราทำอัลบั้มเล่นคอนเสิร์ตทุกปี พอได้หยุดเรารู้สึกเหมือนเราได้ชาร์ตตัวเอง เราได้ดิ้นรนกับความรู้สึกเบื่อ หรือช่วงอายุของการเป็นศิลปินของเรามันผ่านไปแล้ว หลายคนอาจจะมองว่าเตรียมตัวไปทำอะไรอย่างอื่นหรือเปล่า เพราะศิลปินก็มีอายุไข เราก็ต้องดิ้นรนเพราะเรายังรักที่จะทำตรงนี้อยู่ เราก็ต้องดิ้นรน ที่แต่งเพลงไม่ได้เลยก็ต้องแต่งให้ได้ ออกไปใช้ชีวิต ไปหาแรงบันดาลใจใหม่เพื่อให้เรากลับมาทำตรงนี้อีกครั้ง ผมว่าคนเราพอไม่ได้ใช้ชีวิตทุกอย่างมันแบน เวลาเราแต่งเพลงเราก็พูดคุยกับสิ่งที่เราคิดว่ามันใช่ เราแต่งกับอารมณ์ที่เราคิดว่ามันจริง แต่ถ้าคุยยับงไม่เคยผ่านมันจริงๆ ยังไม่เคยรู้สึก คุณก็จะไม่อินกับมันสักเท่าไหร่
@ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา “โต๋” เปลี่ยนไปจากเดิมมาก
ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะไม่เคยมีใครเห็นผมทำอย่างอื่น จะเห็นผมกับเปียโนแค่นั้นเพราะผมรู้สึกว่านักดนตรีก็ต้องเล่นดนตรี ซึ่งมันคือกรอบที่ผมขีดตัวเองไว้ พอเราดึงทุกอย่างออก เราก็รู้สึกว่า อ้าวที่ผ่านมาเราคิดไปเองนี่หว่า เมื่อหลุดออกมาคุณจะรู้ว่าโลกใบนี้มีอะไรให้เราทำเยอะแยะ ถ้าคุณไม่กล้า ไม่ลองทำดู ก็จะไม่รู้ว่ามีอะไรมากมายที่คุณทำได้ พอผมก้าวมาปุ๊บคาแรกเตอร์เราก็เปลี่ยนไป เรากล้าที่จะพูด มันก็เป็นที่มาของโอกาสต่างๆ ที่เราได้ทำ เช่น ละครเวที รายการเพลง หน้ากากนักร้อง เป็นกรรมการ จากที่ทุกคนรู้จักผมในมุมแค่เป็นนักร้อง ก็จะรู้จักผมในมุมที่กล้วงขึ้น เวลาพูดจาเวลาคิดเป็นแบบนี้ มันก็เลยเป็นการส่งเสิรม มันทำให้ผมรู้สึกว่าเราควรที่จะกล้าชนมานานแล้วแต่เพิ่งก้าวออกมาตอนนี้ก็ยังทันอยู่
@ คิดว่าตัดสินใจถูกไหม กับการเลือกที่จะปรับเปลี่ยนตัวเอง
เรารู้สึกว่าทุกอย่างเหมือนเดิมมันเบื่อมาก เราก็จะรู้สึกเดิมๆ รู้สึกกลัวและแบกกดดดันความคิดของตัวเอง บางทีก็เลยไม่กล้าพูดไม่กล้าทำอะไร ต้องระวังตัวเองตลอดเวลา เพราะเรารู้สึกว่าเราต้องทำทุกอย่างให้ดีให้เพอร์เฟคมันถึงจะมีความสุข แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันเครียดมาก ผมอยากบอกทำตัวเองให้มีความสุขก่อนดีกว่า แล้วทุกอย่างจะออกมาดีเอง อันนี้ดีกว่าเพราะเมื่อไหร่ที่เรามีความสุข เราก็จะทำทุกอย่างด้วยความสุขสุดท้ายทุกอย่างมันอยู่ที่ความสุขของชีวิต
@ มองความสำเร็จตรงนี้ไว้ยังไง
ผมเป็นคนที่รู้สึกเพียงแค่การอยู่ข้างบนนานไม่ได้เพราะข้างบนมันสูง อากาศมันก็เลยน้อยเราก็ต้องเดินลง เมื่อเดินลงเราก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร เพราะมันเป็นเส้นทางที่เราเคยเดินแล้ว อยากบอกคนที่กำลังจะวิ่งขึ้นข้างบนว่าทำเต็มที่ก็ดี บนนั้นมันก็สวยดี พอเราเดินลงมาถามว่าชีวิตเป็นอย่างไร ผมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การขึ้นไปอยู่ข้างบน แต่มันคือระหว่างทางที่ขึ้น ระหว่างทางลง เพราะเมื่อเราลงจากเขาลูกนี้ สักพักมันก็คงมีเขาลูกใหม่ให้เราเดินขึ้นแต่เราจะขึ้นไม่เหมือนลูกแรกเพราะเรารู้แล้วว่าข้างบนมันไม่มีอะไร เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ความสุขของผมคือการที่ผมอยู่ในชีวิตจริง มีความสุขกับทุกวัน ตื่นมาเราเจอคนที่รัก เจอครอบครัว เจอคนรอบข้าง ความสุขคือการใช้ชีวิตธรรมดา จะไหนก็ไป ได้ทำได้เล่นดนตรีที่รัก มันไม่เกี่ยวว่าเวทีจะต้องใหญ่ขนาดไหน เมื่อก่อนเคยอึดอัด เพราะเรามีอะไรที่ต้องรักษาเยอะเหลือเกิน รู้สึกว่าเราต้องแบก รู้สึกว่าเราต้องใส่เสื้อซูเปอร์แมนตลอดเวลา และรู้สึกว่าเราต้องทำทุกอย่างให้ดี ต้องเป็นแบบอย่างให้คนอื่น ผมก็รู้สึกเป็นเกียรตินะที่ผู้ใหญ่หลายๆ คนมองว่าเราเป็นต้นแบบของวัยรุ่น แต่เราก็ไม่ได้อยากเป็นซูเปอร์แมนตลอดเวลา บางครั้งเราก็อยากเป็นคนธรรมดา ความสุขคือการที่เราได้ถอดทุกอย่างเมื่อถอดออกผมรู้สึกเอ็นจอยมาก เมื่อก่อนตอนทำงาน ผมต้องทำทุกอย่างที่ผมต้องการ ทุกอย่างต้องเป๊ะมาก ทุกอย่างต้องเกิน100 ไม่อย่างนั้นผมจะนอยด์มาก แต่ทุกวันนี้มันกลับกัน คือชิลนะแต่เราก็ตั้งใจ ตอนนี้ถ้าผมทำได้แค่ 80 เปอร์เซ็นต์ผมก็จะมีความสุขกับ 80 เปอร์เซ็นต์นั้น แทนที่จะไปนอยด์กับ 20 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่ได้ดังใจ ถ้าได้แค่ 60 ผมก็มีความสุขแค่ 60 เปอร์เซ็นต์ อีก 40 เราก็นำมาเป็นข้อปรับปรุง
@ เรื่องความรักตอนนี้เป็นอย่างไร
ยังมีใครไม่รู้อีกเหรอว่าผมมีแฟน (หัวเราะ) ทุกวันนี้ผมมีความสุขดี คือเมื่อก่อนผมจะรู้สึกว่าความเป็นศิลปินมันต้องแยกเรื่องความรักออกไป เราต้องใช้ชีวิตให้เป็นศิลปิน แต่ตอนนี้ศิลปินมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งในชีวิต มันไม่ใช่ทั้งชีวิตของผม ศิลปินคือพาร์ตหนึ่งของผม แต่เรายังมีอีกพาร์ตหนึ่งคือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก การใชัชีวิตปกติ ทุกวันนี้เวลาผมอยากไปกินข้าวหรือไปเที่ยวที่ไหนเราก็ไป จากที่เมื่อก่อนจะคิดว่าไปไม่ได้เดี๋ยวคนอื่นเห็น เดี๋ยวเขาเอาไปพูดกัน สุดท้ายมันก็คือเราคิดไปเอง เขาพูดแล้วยังไงเพราะมันคือชีวิตของเรา เราจะทำอะไรก็ทำมันมีความสุขกว่าเยอะ
@ จะแต่งงานเมื่อไหร่
ผมว่าทุกอย่างมันมีช่วงเวลา คือถ้ามันถึงเวลาที่เราต้องไปถึงจุดนั้นมันก็จะมีช่วงเวลาของมันเอง แต่ตอนนี้เราอยู่บนเวทีใหญ่สุดในสายงานของเรา การทำงานตรงนี้มันต้องใช้เวลา ผมขอเวลาอยู่ตรงนี้อีกแป๊บ เมื่อถึงเวลามันก็จะมีวันนั้น (มีการพูดจากันไหมเพราน้องสาวก็แต่งไปแล้ว อาจมีคนพูดเปรียบเทียบว่าต้องแต่งแล้วทำไมเราไม่แต่ง) ไม่หรอก สายงานแต่ละคนไม่เหมือนกัน จังหวะของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ของผมก็มีแพลนในใจ แต่ไม่รู้ว่เมื่อไหร่ถึงเวลาเมื่อไหร่เดี๋ยวผมบอก เพราะมันก็เป็นอีกสเต็ปหนึ่งของชีวิต แต่ตอนนี้ขอให้เวลาตรงนี้ก่อน
เรื่อง : เสาวลักษณ์ ปึงทมวัฒนากูล
ภาพ : ปราโมทย์ พุทไธสง