
ถึงอวสานละคร ‘ตบตี-จูบ’
เมื่อผู้บริหารช่องวันสร้างกลยุทธ์กระชากเรตติ้ง ....
ผ่านมาเกือบ 3 ปีสำหรับสงครามดิจิทัลทีวีดูเหมือนว่าไฟแห่งการต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่งและความอยู่รอดยังคงลุกโชน แถมไร้วี่แววว่าจะสงบลงซะด้วย และกลยุทธ์ในการสู้ศึกของแต่ละช่องหนีไม่พ้นการวางหมากในเรื่อง “ละคร” ที่เห็นชัดในเรื่องของเรตติ้ง เฉือดเฉือนกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน “สกู๊ปบันเทิง คมชัดลึก” สบโอกาสดีเพื่อพูดคุยกับแม่ทัพใหญ่แห่งช่องวัน อย่าง “ป้อน” นิพนธ์ ผิวเณร ผู้อำนวยการสายงานการผลิตละคร บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพร์ส จำกัด ถึงทิศทางการวางแผนการต่อสู้ในปีหน้า
ภาพรวมละครปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง
ดีมาก โดยเฉพาะฟีคแบคละคร สำหรับเรื่อง “ล่า” ดีมากๆ ถามมาว่าพอใจไหม เราพอใจ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้จะโฟกัสอยู่ในเมือง ต่อไปการทำละครของเราจะชัดเจนมากขึ้น ไม่เชิงว่าละครเรื่องนี้ขายคนกรุงเทพหรือคนที่อยู่ปริมณฑล ผมมองว่าละครต่อไปนี้ต้องมีหน้าหนังที่ชัดเจน เราจะไม่ทำละครที่มีแค่พระเอก นางเอก นางร้าย ล้มเกลี้ยงนิ่งซูม แม้ว่าจะถ่ายสวยแค่ไหน ดาราดังขนาดไหนไม่สามารถเอาอยู่ (สาเหตุที่เปลี่ยนแนวทางการผลิต) ผมคิดเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว คอนเทนส์ในทีวีมันเหมือนกันทั่วโลก ครึ่งหนึ่งมันจะเป็นของแต่ละประเทศ เป็นแล้วโลโคล เช่นแนวเรื่องราชินีหมอรำ แต่อีกครึ่งมันจะเป็นโกลบอลไรซ์มากขึ้น ทีวีในทั่วโลก คุณจะจำนักแสดงไม่ค่อยได้ จำเรื่ิองได้ เนื้อเรื่องจะสำคัญพอๆกับตัวของดารา สมัยก่อนสตาร์บิ๊กสตอร์รี่ เดี๋ยวนี้คนฉลาดขึ้น คนเห็นดาราเป็นเรื่องปกติ
หมายความว่าต่อไปนี้ทางเอ็กแซ็กท์ไม่สร้างซูเปอร์สตาร์แล้ว
อย่างไรมันต้องสร้าง แต่ซูเปอร์สตาร์นั้นมาจากคอนเทนส์อะไร เจาะกลุ่มไปให้ชัด แต่ไม่ใช่หมายความว่าซูเปอร์สตาร์จะทำได้ซะทุกอย่าง และผมให้ความสำคัญกับตัวบท ยอมรับว่านะว่าบทละครที่ผ่านมาผมแก้บทตลอด แต่แก้เพื่อให้บทมันสนุก แต่เมื่อก่อนคนเชื่อว่า บทเท่านี้พอแล้วดาราดังๆ เอาอยู่ สมัยก่อนมันได้นะ แต่มันกำลังหมดยุคแบบนั้นแล้ว เพราะสมัยก่อนมันไม่มีโซเซียลการดูดาราเป็นเรื่องที่ยาก สตอร์รี่ของเรื่องต่อไปนี้มีความยั่งยืนมากกว่า ไม่มีใครอยากดูคอนเทนส์ที่ไม่ดี คอนเทนส์ที่ดี คนจะดูแล้วดูอีก และมันจะไม่ตาย ตอนนี้กลายเป็นว่าคอนเทนส์คือผู้นำ เขาเรียกว่าต่อให้ระบบปฏิบัติการล้มละลายลงไป แต่ว่าคอนเทนส์ยังอยู่ เนื่องจากเป็นกระแสของโลก โลกมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ถ้าคุณทำคอนเทนส์แบบเดิมๆ คุณตายแน่นอน ทีวีไม่ตายอคนทำคอนเทนส์แบบเดิมๆ จะตาย (แนวละครแม่ผัวลูกสะใภ้ตบตี) ในปีหน้ามันจะตาย เชื่อสิ เพราะว่าคนมันตีกันอยู่ในคลิปและมันรุนแรงกว่าในละครไง มี 2 เหตุผลนะ คนจะมองว่าในละครมันไม่จริงและข้อ2 คนรู้สึกว่าคลิปตีกันดูจนเบื่อแล้ว แล้วการทรมานที่จะยัดเยียดความเป็นสามีให้ ใครที่จะยอมให้ทำแบบนั้น คนจะมองว่าโง่แล้วนางเอกคนนี้
เปลี่ยนรูปแบบในการนำเสนอละคร
คุณต้องทำคอนเทนส์ให้เข้าถึงคนปัจจุบัน ถ้าคุณทำคอนเทนส์ให้วัยรุ่นดู คอนเทนส์นั้นอยู่ในโทรศัพท์ ถ้าคุณทำคอนเทนส์ให้คนอายุ 70 ปีดูเขาหลับแล้ว คุณต้องทำคอนเทนส์อายุ 35 -50 ปีที่ยังมีแรงเปิดดูทีวี เมื่อคุณประมูลทีวีดิจิทัลมาแล้วคุณก็ต้องลงทุน ดังนั้นคุณต้องเข้าใจว่าใครดูทีวี และคุณต้องเข้าใจว่าคุณใช้โทรศัพท์ออนไลน์มาเป็นเครื่องมือให้คนมาดูจอใหญ่ ถามว่าเราทำจอเล็กไปเลยสิ เดี๋ยวนี้เงินยังมาไม่ถึงขนาดนั้น เงินมันน้อยกว่านี้ เนื่องจากมันยังไม่เสถียรและยังไม่ได้น่าเชื่อถือได้ขนาดนั้น คุณสามารถปั้นยอดวิวได้ เอซีเนลสัน (บริษัทวัดเรตติ้ง) ที่เขาวัดมันก็ยังเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือ และจะบอกว่า ทีวีคือทีวี มันเป็นไปไม่ได้เลยว่าทีวีจะตาย เพราะว่าคนแก่ๆ เขาไม่ดูมือถือ ประชากรเกิดน้อยลง แล้วคนแก่อายุยืนยาวขึ้น
ปีหน้าคนไปโฟกัสที่โซเชียลมากขึ้น
ผมว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดนะ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของความคิดแต่ละคน เราทำทีวี อย่างไรซะทีวีมีเม็ดเงินที่ใหญ่กว่ามาก คอยคุ้มกับที่ประมูลมา เพราะเราต้องใช้โซเซียลให้เป็นอุปกรณ์การตลาดของทีวี ท้ายที่สุดตัวเลขขึ้นที่จอทีวี (แล้วโซเซียลได้แชร์ค่าโฆษณาไปเยอะไหม) น้อยนะ มองดูว่านาทีของทีวีคิดเป็นกี่บาท ของโซเซียลมันน้อยมาก ผมยังเชื่อว่าลูกค้ายังโฟกัสในการซื้อโฆษณาทางทีวีเหมือนเดิมแน่นอน และทีวียังเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยอยู่ รู้ไหมในอเมริกาเขาไม่ได้อะไรกับออนไลน์เลยนะ เขารู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของเทคโนโลยี คือจำนวนช่องมันเยอะขึ้น จึงทำให้ดูว่าเม็ดเงินมันลดน้อยลงเท่านั้นเอง แต่ในระยะยาวคุณอยู่ไม่ได้หากคอนเทนส์คุณไม่แข็งแรงพอ
มุมมองการทำละครในยุคดิจิทัลทีวีเป็นอย่างไร
คนดูฉลาดขึ้นและเลือกเสพที่ตัวเองอยากดูมากขึ้น เพราะมันมีช่องมากขึ้น ตอนนี้มันเป็นยุคที่คนดูตัดสินใจด้วยตัวเอง ดังนั้นคอนเทนส์ของคุณต้องสร้างแรงบันดาลใจให้คนมาดู สำหรับละครนะตอนแรกสำคัญที่สุด ในยุคนี้คนใจร้อนมากขึ้น แล้วเกมส์ดาราไม่ใช่เกมส์ที่คุณจะเล่นอีกต่อไป ดาราปุ๊บ การันตีความประสบความสำเร็จ หรือความล้มสลายได้ มันอยู่ที่ว่าเรื่องแบบไหน แล้วบทเป็นแบบไหนด้วย ถามว่าเราเมื่อเป็นแบบนี้เราจะวางตัวนักแสดงยากขึ้นไหม ไม่นะ บางเรื่องดาราไม่ต้องดังก็ได้ ขอให้เรื่องสนุก ทำไมคุณต้องคิดว่าทุกอย่างต้องขายด้วยดาราถูกปะ ไม่งั้นมันไม่เกิดละครเรื่องแก้มล้อมเพชรหรอก (ยิ้ม) คุณต้องสร้างอะไรใหม่ๆ แคสติ้งเป็นเรื่องสำคัญ คุณต้องเข้าใจเรื่องแคสติ้งก่อน ระบบแคสติ้งกับระบบดารา บางทีมันเหมือนเส้นผมบังภูเขานะ วิธีการคิด เราก็ต้องคิดใหม่ ถ้าไม่ใช่เราไม่ต้องทำ ถ้ามันไม่มีกลิ่นความสำเร็จออกมา อย่าทำ ต่อไปนี้สำหรับคนที่จะมาทำงานกับเรา ๆ จะเคี่ยวมากขึ้นอย่างแน่นอน ผมอ่านบททุกเรื่อง และบทมันสำคัญจริงๆ นักแสดงบางคนไม่เหมาะกับบทแบบนี้ ต่อไปนี้มันไม่ใช่ว่าดาราคนไหนเล่นบทไหนก็ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะคนดูฉลาดมากขึ้น ความเป็นพระเอกนางเอกมันจืดจางด้วยสิ่งนี้ (ชี้ไปที่โทรศัพท์มือถือ)
ถามว่าหากนักแสดงยังยึดติดกับความเป็นพระเอกนางเอก
อีกหน่อยเขาจะเข้าใจเองว่า 1 ถ้าคุณไม่เหมาะกับบท เล่นไปมันก็ไม่ได้ 2. เขาต้องรู้ว่าเล่นแล้วไม่ดัง เพราะคุณไม่เหมาะกับเรื่องนั้นๆ แต่คุณยังอยากเล่น แล้วตัวผู้จัดยังเอามาเล่นอีก เราต้องทำอะไรให้ทุกอย่างเป็นที่สุดในทุกๆ อณูของเนื้องาน คุณต้องมีการแคสที่ดีที่สุดควบคู่กับบทที่ดีที่สุดแล้วที่สุดของคาแรตเตอร์ก็จะตามมา คิดแบบนี้บทที่ดีจะนำมาซึ่งผู้กำกับและนักแสดงที่ดี ต่อไปนี้เป็นยุคของนักแสดงจริงๆ คนที่มีความสามารถเท่านั้นที่จะอยู่ได้ ไอดอลกำลังจะตาย เพราะถือว่าไม่มีความสามารถ มันจะไม่มีอะไรง่าย ส่วนสำหรับเรานะการจะเซ็นสัญญาเด็กสักคนเรามองในเรื่องทัศนะคติ เดี๋ยวนี้ต้องคุยแบบนี้นะ เป็นคนแบบที่ว่าจะฟันผ่าไปข้างหน้าไหม คุณจริงจังกับอาชีพนี้หรือมาเล่นๆ ขำๆ คุณนิสัยดีไหม นิสัยดีจะทำให้มีออร่าออกมาเอง คนเราไม่สามารถปลูกพืชที่ดีจากเมล็ดพันธ์ที่ไม่ดีได้
เรื่อง ภัทรวรรณ สุนทรธนานุกูล