
ฟ้าหลังฝนของ ‘ทราย เจริญปุระ’ ที่ ‘ศรีธัญญา’
“ทราย เจริญปุระ” ยินดีเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้ “โรงพยาบาลศรีธัญญา” ที่รักษาผู้ป่วยทางจิต ให้ทำอะไรก็ยอม
หลังจาก “ทราย เจริญปุระ” ออกมาประกาศว่าได้พาคุณแม่ที่ป่วยไปรักษาที่ "โรงพยาบาลศรีธัญญา" ซึ่งคนทั่วไปรู้จักกันว่าเป็น “โรงพยาบาลบ้า” แต่ดูเหมือนการไปรักษาครั้งนี้จะไปในทิศทางที่ดี เพราะล่าสุดเจอนักแสดงสาวได้อัพเดทอาการของคุณแม่ว่าตอนนี้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว และไปกลับมารักษาตัวที่บ้านเป็นที่เรียบร้อย
“แม่โอเค กลับมาอยู่บ้านแล้ว ใจเย็นลงมาก (ยิ้มหน้าบาน) น่ารัก แล้วก็สบายใจขึ้นได้ออกมาทำงาน แบบปล่อยได้ มิฉะนั้นเราจะหวาดระแวงมาก ว่าแม่จะไปไหน จะแอบเอากุญแจรถขับไปไหนหรือเปล่า โอเคตอนนี้ไม่มีแล้ว สงบ แม่ใช้เวลาในการรักษาที่โรงพยาบาล ประมาณเดือนหนึ่ง ซึ่งก็จะมีการใช้ยา กิจกรรมบำบัด แล้วก็จิตบำบัดด้วย มันไม่ใช่แค่ว่ากินยาแล้วไปนอน ก็มีขั้นตอนอะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งแม่ก็มีการตอบสนองได้ดี เป็นวิธีการรักษาที่คุณหมอก็เลือกปรับให้เข้ากับแม่เราให้มากที่สุด ของแบบนี้ไม่มีสูตรอ่ะเนอะ ของแบบนี้พอเราไปเห็นมืออาชีพเขาทำ มันไม่ใช่แค่ว่า แม่กินยา แม่กินข้าว อย่างวันที่ 8 ธ.ค.ก็มีนัดหมอ เราก็เป็นคนพาไป เพราะว่าคนที่ดูแลต้องเป็นคนพาไปเพื่อไปบอกอาการและสิ่งที่เป็นให้คุณหมอได้รับทราบ”
ตอนนี้เวลาพูดอะไร คุณแม่ฟังทรายมากขึ้นกว่าเดิมไหม “ฟังๆ แต่อาจจะไม่เข้าใจนะ อย่างเรื่องไปหาหมอ แม่ก็จะบอกว่าแม่ต้องไปหาหมอวันนี้ ซึ่งตอนนั้นคือวันที่ 7 ธ.ค. เราก็บอกว่าพรุ่งนี้ แม่ก็บอกว่าแม่ต้องไปหาหมอวันที่ 8 เราก็บอกใช่ๆ แต่วันที่ 8 คือพรุ่งนี้ เขาก็จะอ๋อเหรอ คือตอนนี้คือคุยได้ ถ้าเป็นแต่ก่อนเขาจะโมโหเหมือนเราเถียง แต่ตอนนี้เขาก็จะอ๋อเหรอ เออ แม่งง อะไรแบบนี้ คือเป็นอะไรที่ดีขึ้น แล้วน่ารักมาก เราดีใจ”
นักแสดงสาวเผยว่า ตอนนี้สบายใจมากขึ้น และกลับมารับงานในวงการบันเทิงได้อย่างเต็มที่แล้ว โดยก่อนหน้านี้ไม่กล้าที่จะรับงาน เพราะกังวลในอาการป่วยของแม่ กลัวจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เธอไม่อยู่่
"หลังจากที่เราบอกว่าเราพาแม่มารักษาที่นี่ ก็มีคนเข้ามาขอคำปรึกษา ว่าทำยังไง ทรายเข้าใจนะ เพราะว่าผู้ใหญ่ก็อาจจะมีความดื้อ แล้วพอเราเป็นลูกไปบอก พ่อแม่จะดื้อมาก ก็แนะนำกันไปเป็นกรณีของแต่ละคนไป ซึ่งมีคนเข้ามาปรึกษาเยอะ ก็มีมาถามเรื่องเกี่ยวกับการดูแลพ่อแม่ด้วย และการดูแลตัวเองด้วย เพราะว่าเราก็เป็นโรคซึมเศร้า มันทำให้เรารู้สึกว่าจริงๆ มันก็ดีนะ กับการที่ได้เล่า ซึ่งมันก็เหมือนช่วยกัน เหมือนตั้งกลุ่มบำบัด ซึ่งในมุมเรื่องนี้ที่เราอาจจะมองว่ามันแย่ แต่มันก็มีมุมที่ดี ในทุกครั้งที่เราเปิดหลังไมค์ก็จะมีคนมาบอกว่า พี่ทำให้หนูตัดสินใจไปหาหมอ เราก็รู้ว่า เออเนอะ ก็ดี (ยิ้ม) ทรายไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องของการทำบุญหรืออะไร เพียงแต่ว่าบางคนมันไม่สบาย มันไม่เห็นทางออก มันไม่รู้จะเริ่มยังไง มันจะถามใครได้บ้าง หรือบางคนรู้แหละว่าต้องไปหาหมอ แต่ก็อยากที่จะรู้ในรายละเอียด อย่างมันแพงไหม มันนานไหม มันจะดีขึ้นจริงไหม คือเรื่องแบบนี้หมอที่ไหนจะบอก ก็ต้องถามคนเคยไป แล้วใครจะมาบอกว่าเคยไป แต่พอเราออกมาบอกแบบนี้ เขาก็เลือกมาถามเรา ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน มันก็เป็นข้อมูลที่เอามาแบ่งปันกันได้”
ทางโรงพยาบาลได้มีการขอให้เป็นพรีเซนเตอร์อะไรไหม
“นี่จะได้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ (หัวเราะ) คือหลายๆ คนก็อาจจะไม่รู้ว่าศรีธัญญามีมูลนิธิ หรืออะไรแบบนี้ คนอาจจะไม่รู้ ว่ามีตรงนี้ด้วย แล้วเอาเงินบริจาคมูลนิธิไปทำอะไร คืออย่างบางคนที่เขาป่วยแล้วทางตำรวจไปช่วยมา ตามหาญาติไม่ได้ จำชื่อตัวเองไม่ได้ จะให้โรงพยาบาลทิ้งขว้างเขาก็ทำไม่ได้ ซึ่งตรงนี้ก็เป็นค่าใช้จ่าย เราก็ช่วยอยู่ตอนนี้ ช่วยเท่าที่เราจะทำได้ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับใครที่ได้รู้เรื่องข้อมูลตรงนี้ด้วย”
“ทราย” ยินดีให้ รพ.ศรีธัญญา เอาภาพไปใช้เพื่อการประชาสัมพันธ์ “เอาไปเลยจ้า ไปแปะไว้หน้าโรงพยาบาลเลย จริงๆ เราต้องขอบคุณด้วยซ้ำ เพราะมันแย่มากนะ ในตอนแรกที่เราไม่รู้ว่าจะทำยังไง เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงจริงๆ มันประสาทเสียมากๆ มันไม่ใช่แค่ว่ามีตังค์ซื้อยา หรือให้แม่ไปนอนรพ.ไหนก็ได้ มันไม่ใช่ไง มันไม่ใช่ง่ายๆ อย่างนั้นไง แต่การที่เรามารักษาที่นี่ ทำให้แม่เราดีขึ้นจริงๆ เราได้แม่คืนมา มันรู้สึกแบบ คุณหมอ รพ.จะเอารูป เอาหน้า เอาอะไรหนูไปเลย ยกให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ไปเสื้อผู้ป่วย อะไรยังไง เรายินดีทำให้ ยอมหมด เพราะเราดีใจจริงๆ”
ย้อนกลับไปตอนก่อนที่จะพาไปรักษา ตอนนั้นพูดกับคุณแม่ยังไง “ตอนนั้นล่อหลอกกันมาก เล่นกลมาก ให้เพื่อนเขามา อ้างสตอรี่ ก็มีปดมดเท็จไปบ้าง ผิดศีลกันบ้าง ก็ถือว่าไว้ลายเนอะ เพราะไม่ใช่แค่แม่ดีขึ้นอย่างเดียว บรรยากาศในครอบครัวมันดีขึ้นไปด้วย เราก็สบายใจ ถ้าย้อนกลับไปก็ยังตัดสินใจแบบนี้ และจะไปให้เร็วขึ้นกว่านี้อีก ถ้าย้อนกลับไปก็จะไม่รอนานขนาดนี้ ถ้าไปรักษาเร็วกว่านี้ แม่อาจจะไม่ต้องอยู่รพ.ถึงเดือนด้วยซ้ำ แล้วมันตลกมาก ตรงที่สุดท้ายก็มาหาโรงพยาบาลที่อยู่ตรงข้ามบ้านตัวเอง ไปวนอยู่ทำไมเป็นปีๆ”
ทั้งที่เป็นรพ.ที่อยู่ตรงข้ามบ้าน ในทุกครั้งที่มองรพ. ทำไมถึงไม่มารักษา “บอกก่อนเลยว่าเราไม่ได้รู้สึกแย่กับรพ.นะ เพราะว่าเราก็หาหมออยู่ แต่ด้วยความที่รพ.รัฐบาล ซึ่งก็มีระบบที่ไม่ง่าย ใช้เวลามีกระบวนการ มีขัดกรองมีอะไรต่างๆ ไม่ใช่ว่าเดินเข้าไปกี่โมงก็ได้ ต้องให้หมอวินิจฉัยก่อนว่าอาการอยู่ในระดับที่ต้องแอดมิน ตอนนั้นเรารู้สึกว่าถ้าแม่ไม่ถึงอาการระดับที่ต้องแอดมินเราก็จะดีใจ เพราะแม่ไม่ป่วยมาก แต่ถ้าแม่ป่วยมาก เราก็จะป่วยมากไปด้วย (หัวเราะ) มันเป็นความกังวลยังไงดี แต่พอไปแล้วได้คุยกับคุณหมอก็อธิบาย ว่าถึงไม่ได้ป่วยมาก ก็สามารถแอดมินได้นะ หมอขอเวลาประมาณเดือนหนึ่งจะดีขึ้น จะมีตารางมีการกำหนดชีวิตมากขึ้น จะเข้าใจอะไรมากขึ้น เราก็โอเค ตอนนั้นคุณหมอก็บอกเลยว่าจะดีขึ้นแน่ๆ อย่างน้อยก็จะไม่เกรี้ยวกราด คนรอบตัวก็จะแฮปปี้ ตัวแม่ก็จะแฮปปี้ทุกอย่างมันดีขึ้น แต่ถามว่าหายขาดไหม ไม่หายขาด เพราะว่าเนื้อสมองที่มันเสื่อมไปแล้ว มันก็เสื่อมไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นไปตามวัย เราก็มีหน้าที่ยืดระยะให้นานที่สุด” ทรายกล่าว



