
มองผ่านเลนส์คม - สมภารกินไก่วัด
ก่อนจากบ้านมา เพื่อนมันว่าให้ช้ำทรวง ไปเป็นนักร้องให้เขาล้วง มันเจ็บในทรวงไม่หาย... เพลงนักร้องบ้านนอกที่พุ่มพวง ดวงจันทร์ ขับร้อง เป็นเพลงที่ชี้ให้เห็นมุมมืดที่ซุกซ่อนอยู่ในวงการเพลงมานาน
หรืออย่างเพลง "ดาวเรืองดาวโรย" อีกเพลงก็บอกเล่าถึง หญิงสาวชาวนาที่อยากเป็นดาราชื่อเฟื่องเลื่องลือ เมื่อเข้าวงการก็จบตรงที่อุ้มท้องกลับบ้าน "สิ้นสดหมดสาว กลายเป็นข่าวกลับนา"
นักร้องหรือดาราที่ถูกปล้ำก่อนปั้นนั้นเป็นตำนานเล่าขานมานาน ปัจจุบันนี้ไม่เพียงแต่หญิงสาวเท่านั้น ดาราหนุ่มบางคนก็มีข่าวคาวกับผู้สร้างที่ชอบไม้ป่าเดียวกัน
หลายคนยอมพลีกายแลกเพื่อก้าวสู่การได้มาเป็นดาวจรัสแสงในวงการ ซึ่งหมายถึงชีวิตจากดินสามารถเปลี่ยนไปเป็นทางตรงกันข้าม ครอบครัวสุขสบายกันทั่วหน้า
และช่างเหมือนเป็นสูตรสำเร็จพอมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้ว จะชีวิตการกินอยู่จะเปลี่ยนไปกันแทบทุกคน
คนดังเหล่านี้จะเสพติดชื่อเสียงอำนาจและตัวเลขในบัญชีที่ไม่ยอมให้พร่องแม้แต่น้อย เขายอมจ่ายให้กับสิ่งฟุ่มเฟือยภายนอกที่จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ภายนอก แต่ไม่เคยเหลียวมองความเป็นอยู่ของคนทำงานเบื้องหลังหรือคนสร้างเขามา
ผู้ที่ทำงานใกล้ชิดศิลปินดังระดับประเทศเล่าให้ฟังว่า ศิลปินดังบางคน เคยชินกับการเป็น”ผู้รับ”มากกว่าการเป็น”ผู้ให้” ประเภทที่ไปกินข้าวกับทีมงานแล้วไม่เคยจ่ายเงินสักแดง ทั้งที่มีเงินเก็บมหาศาล
มาถึงวันนี้ช่องทางหารรายได้ผลประโยชน์ของคนในวงการเพิ่มกว่าในอดีตหลายเท่า ทำให้เกิดเรื่องดารานักร้องแหกคอก ละเมิดสัญญาหรือ ดังแล้วแยกวงกันอยู่เสมอ เพราะมักจะมีความคิดที่จะกินรวบคนเดียว ไม่แบ่งคนอื่น
คนที่อยู่หน้าฉากมักจะได้เปรียบสักหน่อยตรงที่มีเสียงดังกว่าคนเบื้องหลัง นักข่าวให้ความสนใจและคนดูผู้อ่านจะเชื่อ ผู้สร้างมักจะเป็นฝ่ายถูกตำหนิว่าเป็นเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ทั้งๆที่ก่อนจะสร้างให้คนดังขึ้นมา ทุกอย่างต้องมีต้นทุน
ผู้สร้างคนดังที่อยู่เบื้องหลังคนมีชื่อเสียงรายหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น มาจากเรื่องผลประโยชน์ไม่ลงตัวเท่านั้น
และเหตุผลที่ผู้สร้างบางคนต้องกลายเป็น”สมภารกินไก่วัด”เสียเอง เขาบอกว่า เป็นเรื่องจำเป็นเพราะมันเป็นมาตรการเดียวที่ต้องการควบคุมให้คนในสังกัดไม่ทรยศหักหลังได้อย่างเด็ดขาด และเมื่อ”เรือล่มในหนอง เงินทองก็จะไม่ไปไหน”นั่นเอง
"นคร ศรีเพชร"