บันเทิง

การซ้อมมหรสพงานออกพระเมรุ

การซ้อมมหรสพงานออกพระเมรุ

13 ต.ค. 2560

กรมศิลปากรจัดซ้อมการประโคมดนตรี-ละครพระมหาชกในงานออกพระเมรุที่โรงละครแห่งชาติ

         ด้วยกรมศิลปากร โดยสำนักการสังคีต กระทรวงวัฒนธรรม กำหนดซ้อมการแสดงมหรสพ เนื่องในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รายการแสดงละคร เรื่องพระมหาชนก ในวันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560 เวลา 09.30-12.00น.

การซ้อมมหรสพงานออกพระเมรุ

(วงปี่พาทย์นางหงส์)

          โดยการซ้อมการแสดงมหรสพฯ ณ โรงละครแห่งชาติในวันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม เวลา 09.00-10.00 เป็นการซ้อมวงประโคมย่ำยาม ซึ่งการประโคมดนตรี ในงานพระราชพิธีถือเป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์อย่างหนึ่ง เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของงานพระราชพิธี ควบคู่กับวงประโคมของงานเครื่องสูง สำนักพระราชวัง ซึ่งมีการปฏิบัติสืบเนื่องมา พบหลักฐานชัดเจนตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยมีการปรับเปลี่ยนไปบ้างตามความเหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน การประโคมดนตรีนั่นสามารถแบ่งออกได้ 2 ส่วนคือ

         ส่วนแรก คือการประโคมย่ำยามในการพระราชพิธีสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ

         ส่วนที่สอง คือการประโคมดนตรีในงานพระราชพิธีออกพระเมรุ หรือพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ

         โดยการประโคมดนตรีในการพระราชพิธีออกพระเมรุในครั้งนี้ เพื่อจะถวายพระเกียรติอย่างสูงสุด ในการพระราชพิธีถวายพระเลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็พระปรมิทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ได้จัดวงประโคมตั้ง 4 มุม ดังนี้ 

การซ้อมมหรสพงานออกพระเมรุ (วงบัวลอย)

         1. วงบัวลอย 4 วง ตั้งอยู่ด้านหน้าของศาลาลูกขุนทั้ง 4 หลัง (วงบัวลอยของสำนักการสังคีต 3 วง ของสถานบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 1 วง)

         2. วงประโคม 4 วง (ตั้งอยู่ในทับเกษตร) ประกอบด้วย วงปี่พาทย์นางหงส์เครื่องใหญ่ 2 วง วงปี่พาทย์มอญเครื่องใหญ่ 2 วง สำหรับวงประโคม มี 2 ชุดๆ ละ 4 วง 

         ชุดที่ 1 ได้แก่ วงประโคมของสำนักการสังคีต (วงปี่พาทย์นางหงส์ประดับงาเครื่องใหญ่) วงประโคมของสถาบัณบัณฑิต (วงปี่พาทย์มอญประดับงาเครื่องใหญ่) วงประโคมของสำนักวัฒนธรรม (วงปี่พาทย์นางหงส์ประดับมุกเครื่องใหญ่) วงประโคมของบ้านพาทยโกศล (วงปี่พาทย์มอญประดับมุกเครื่องใหญ่)

          ชุดที่ 2 ได่แก่ วงประโคมของทหารบก (วงปี่พาทย์นางหงส์ประดับงาเครื่องใหญ่) วงประโคมของทหารเรือ (วงปี่พาทย์มอญประดับงาเครื่องใหญ่) วงประโคมของทหารอากาศ (วงปี่พาทย์นางหงส์ประดับมุกเครื่องใหญ่) วงประโคมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (วงปี่พาทย์มอญประดับมุกเครื่องใหญ่)

          โดยการประโคมแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงแรก ประโคมขณะที่ริ้วกระบวนอัญเชิญพระโกศทองใหญ๋เวียนพระเมรุมาศ 3 รอบ และประโคมอีกครั้งในขณะถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ส่วนช่วงที่ 2  นั้น จะประโคมหลังจากถวายพระเพลิงพระบรมศพเสร็จแล้ว จะมีเฉพาะวงปี่พาทย์นางหงส์เครื่องใหญ่ และวงปี่พาทย์มอญเครื่องใหญ่ (รวง 4 วง) ประโคมตลอดเวลาจนถึงเวลา 06.00 น. *** อนึ่ง หลังจากพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ (เผาหลอก) เสร็จแล้ว วงประโคมชุดที่ 2 ของสี่เหล่าทัพจะเข้ามาทำหน้าที่ประโคมในการถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ (เผาจริง)

การซ้อมมหรสพงานออกพระเมรุ

          ถัดมาในเวลา 10.00-12.00 จะเป็นซ้อมการแสดงละครเรื่องพระมหาชนก เพื่อเป็นการรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเผยแพร่พระอัจฉริยภาพพระบาทสมเด็จปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้านภาษาและศิลปวัฒนธรรม ที่พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัย ศึกษาค้นคว้าเรื่องพระมหาชนกในพระไตรปิฏก และทรงแปลเป็นภาษาอังกฤษ ตรงจากพระมหาชนกชาดก ตั้งแต่ต้นเรื่องโดยทรงดัดแปลงเล็กน้อยเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ทรงแปลมหาชนกชาดกเสร็จสมบูรณ์เมื่อปีพุทธศักราช 2531 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พิมพ์ในโอกาสเฉลิมฉลองกาญจนาภิเษกแห่งรัชกาล ให้เป็นเครื่องพิจารณา เพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของสาธุชนทั้งหลาย

การซ้อมมหรสพงานออกพระเมรุ

          โดยมีนางสาววันทนีย์ ม่วงบุญ ผู้ชำนาญการด้านนาฏศิลป์ไทย เป็นผู้กำกับการแสดงและร่วมด้วยผู้แสดง ผู้บรรเลง ขับร้องและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องประมาณ 150 คน เป็นนาฏศิลปิน คีตศิลปิน และดุริยางคศิลปินข้าราชการของสำนักการสังคีต กรมศิลปากร และนักเรียน นักศึกษา ของสถาบันบัญฑิตพัฒนศิลป์ วิทยาลัย นาฏศิลป กระทรวงวัฒนธรรม

การซ้อมมหรสพงานออกพระเมรุ

         พระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนกนี้ คณะกรรมการอำนวยการจัดข้าราชการพลเรือนปี 2540 อันมีฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นประธานในครั้งนั้น ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญมาทำเป็นบทละคร ใช้การแสดงในวันข้าราชการพลเรือน ปี2540 โดยมอบหมายให้นายเสรี. หวังในธรรม ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านคีตศิลป์ และศิลปินแห่งชาติเป็นผู้จัดทำบทและกำกับการแสดง โดยแสดงเป็นครั้งปฐมฤกษ์ ณ โรงละครแห่งชาติเมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พุทธศักราช 2540 รวม 3 รอบ จากนั้นได้นำมาจัดแสดงในงานสำคัญๆ อีกหลายครั้ง รวมถึงครั้งนี้ด้วย ในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 ณ เวทีกลางแจ้ง บริเวณสนามหลวงด้านทิศเหนือ

การซ้อมมหรสพงานออกพระเมรุ

          โดย อ.วันทนีย์ ม่วงบุญ ผู้ชำนาญการด้านนาฏศิลป์ไทย และกำกับการแสดงกล่าวถึงภาพรวมการแสดงในวันนี้ว่า "การแสดงในวันนี้เป็นการแสดงเรื่องมหาชนกซึ่งเป็นหนึ่งในพระราชพิธีมหรสพถวายพระเพลิงพระบรมศพ ซึ่งการแสดงครั้งนี้เราจะใช้นักแสดงประมาณ 100 คน วันนี้พร้อม 90 เปอร์เซ็นต์ อีก 10 เปร์เซ็นต์ขอไปซ้อมที่ท้องสนามหลวงที่เราไม่ไม่โอกาสได้เข้ไปดูพื้นที่เวทีจริงเลยว่าจะประมาณแค่ไหน คือเรากะเอาว่าน่าจะเท่ากับพื้นที่โรงละครที่นี่ เรื่อง้นื้อหาสมบูรณ์แล้วเพราเราเอาตามบทพระราชนิพนธ์ โดยบทละครครั้งนี้เรานำมาจากบทละครของอ.เสรี หวังในธรรม ซึ่งท่านได้รับพระบรมราชานุญาตให้นำบทพระราชนิพนธ์ของในหลวงร.9 มาจัดทำเป็นละครชาดก (ฉากสำคัญ) สำคัญทุกฉากแตาฉากไฮไลท์เป็นตอนที่พระมหาชนกแหวกว่ายน้ำในมหาสมุทรแลได้สนทนาธรรมกับนางมณีเมขลา อีกฉากหนึ่งคือฉากต้นมะม่วง เป็นฉากสำคัญเพราะทำให้เกิดเรื่องพระมหาชนกนี้ขึ้น เพราะพระบาทสมเด็จเพราะเจ้าอยู่หัวร.9 ท่านได้สดับพระธรรมเทศนากับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร) จากวัดราชผาติการาม วรวิหาร ซึ่งทรงเทศนาเรื่องต้นมะม่วง 2 ต้นนี้ ต้นหนึ่งมีผล แต่อีกต้นไม่มีผล ก็จะทำให้เห็นว่าสิ่งใดดีมีคุณภาพก็จะเป็นเป้าหมายของการยื้อแย่งและจะเป็นอันตรายท่ามกลางผู้ที่ขาดปัญญา ซึ่งรัชกาลที่9 ท่านก็ทรงสนพระทัยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้จึงทรงค้นเรื่องมหาชกจากพระไตรปิฎก ทรงแปลเป็นภาษาอังกฤษและมีการดัดแปลงเล็กน้อยเพื่อให้คนเข้าใจมากขึ้น ส่วนเรื่องเครื่องแต่งกายนั้นเป็นจินตนาการของอ.เสรี ให้วางรูปแบบตามเครื่องแต่งกายของกรมศิลปากร คือมีทั้งแต่งองค์ทรงเครื่อง ที่เรียกว่าแต่งยืนเครื่องแบบพระมหากษัตริย์ และแต่งแบบลำลองอย่างพระมหาชนกจะมี 3 ตัว ตัวแรกคือกุมารอยู่ในหมู่เด็กพราห์มก็จะแต่งแบบพราห์ม ตัวที่2จะเป็นพระมหาชนกที่มีอายุ 16 ปี ก็ยังแต่งเป็นพราห์มอยู่ พอขึ้นครองเมืองแล้วถึงจะมีการแต่งองค์ทรงเคืีองขึ้น ละครเรื่องนี้แสดงครั้งแรกในปี 2540 ในงานราชการพลเรือน

         การแสดงครั้งใช้เวลาปีมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง จุดเด่นของการแสดงครั้งนี้ อยากให้เห็นความสำคัญของบทพระราชนิพนธ์ของพระองค์ท่าน ที่พระองค์ให้คำสอนมากมายทุกฉากจะประกอบด้วยคติสอนใจต่างๆ ครั้งนี้ในส่วนของการแสดงที่เป็นบทของอ.เสรีในรูปแบบนักการสังคีตมักจะสอดแทรกระบำเข้าไปเพื่อให้เกิดอรรถรสและความสวยงาม และมีการสอดแทรกตลกเข้าไปในบทบาทเทวดาสมมุติเป็นคนรู้เหตุการณ์ทั้งหมดแลวมาเล่าเรื่องให้ฟังให้เรื่องกระชับมากขึ้น ความรู้สึกคือเราก็ภาคภูมิใจที่ได้มาเป็นผู้กำกับเรื่องนี้ ได้มีส่วนร่วมในบทพระราชนิพนธ์ในหลวงรัชกาลที่9 ซึ่งพระองค์ทรงสอดแทรกคำสอนไว้เหมือนพ่อได้สอนลูก ได้สอนคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพากเพียรพยายาม ความรัก ความเสียสละความซื่อสัตย์ความมีเมตตากรุณา กตัญญูรู้คุณ ในทุกฉากหากเราฟังดีๆ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ที่พวกเราคนไทยทุกคนจะได้สัมนึกใพระมกากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน กอยาเชิญชวนทุกท่านให้ได้ชมละครเรื่องพระมหาชนก แม้จะไม่มีโอกาสได้ชมในท้องสนามหลวงก็ตาม แต่น่าจะได้ชมตามรายการถ่ายทอดทางทีวี ท่านจะได้อะไรมากมายแน่นอน" อ.วันทนีย์ กล่าว