
เปิดมุมมองใหม่ของ ‘ต่อ-สกาย’
เปิดใจคุยกับ 2 นักแสดงวัยรุ่นที่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาอย่าง “ต่อ” ธนภพ และ "สกาย" วงศ์รวี
กระแสแรงตั้งแต่ตอนแรก สำหรับ "Side by Side พี่น้องลูกขนไก่" ใน "Project S The Series" จากค่ายจีดีเอช และนาดาว บางกอก ที่จับสองนักแสดงหนุ่มวัยรุ่น อย่าง “ต่อ” ธนภพ ลีรัตนขจร และ "สกาย" วงศ์รวี นทีธร มาแสดงนำ วันนี้ “บันเทิง คม ชัด ลึก” จะมาพูดคุยแบบหมดเปลือกกับสองหนุ่ม เริ่มที่หนุ่มต่อก่อนเลย
@@บทบาทใหม่ของ “ต่อ”
ทำไม “ต่อ” ถึงเลือกรับบทนี้
เอาจริงๆ ความคิดแรกๆ ของผมคือกลัวด้วยซ้ำว่าคนจะรับกับบทตรงนี้ไม่ได้ ถ้าพูดตรงๆ คือการที่เรารับบทแบบหนึ่งมาตลอด แต่อยู่ดีๆ คือผมไม่รู้เลยว่าสังคมเรามองยังไงกับภาพเด็กออทิสติก แล้วสุ่มเสี่ยงในตัวผมด้วยกับการมารับบทนี้ เพราะถ้าเล่นไม่ถึง คือตายอย่างเดียว คำว่าตายคือตายจริง 4 ปีที่ทำมามันพังลงมาได้เลย คำพูดที่ได้ยินจากผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นในค่ายหรือนอกค่ายคือ “กล้ามาก” (หัวเราะ) ถามว่าทำไมถึงเลือกที่จะเล่นเรื่องนี้ เพราะส่วนตัวผมเป็นคนกระหายอยู่แล้ว ผมเป็นพวก want (ต้องการ) อยู่แล้ว เด็กมันอยากเจอ อยากได้อะไรใหม่ๆ อยากได้อะไรที่แบบ... ผมอยากเห็นภาพที่คนกล้าพูดออกมาว่า บทนี้เป็นคนอื่นไม่ได้ อยากได้ยินคนพูดถึงเราแบบนี้
บท “พี่ยิม” ท้าทาย “ต่อ” แค่ไหน
ผมไม่ได้เหยียดเด็กเหล่านี้นะ แต่มันเป็นพาร์ทตัวละครที่เราต้องจัดให้อยู่ในความเหนือมนุษย์ ซึ่งผมทำทุกทาง ผมเริ่มตั้งแต่ค้นหาข้อมูลในกูเกิลปกติ อ่านวิจัย อ่านหนังสือ และก็ไปอ่านตามบล็อกเฉพาะ ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องของคุณแม่คนไทยที่มีลูกเป็นออทิสติก เล่าในสิ่งที่เขาเจอมาในสังคมและเขาทนไม่ไหวต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ แต่สิ่งที่ผมได้คือ เขาไม่ได้เขียนในมุมมองของคนที่เป็นแม่ แต่เขาเขียนมุมมองของลูกที่เป็นเด็กออทิสติก เหมือนตัวแทนสายตาของลูกที่มองเห็นโลกนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์มาก จากนั้นก็เริ่มเข้าไปใช้ชีวิตกับเด็กออทิสติกที่บ้านออทิสติกแห่งประเทศไทย ใช้ชีวิตด้วยประมาณ 3 เดือน ซึ่งสถานที่นี้เป็นสถานที่ปิด และข้อมูลทุกอย่างเป็นสิ่งที่เปิดเผยไม่ได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลก่อนที่ผมจะได้คาแรกเตอร์นี้มามันยากมาก เหนื่อยมาก ผมผ่านการท้อ ถึงขั้นที่ว่านอนร้องไห้คนเดียว เพราะผมทำมันไม่ได้ซะที ทั้งที่ผมให้กับมันทุกอย่าง ตอนนั้นคือท้อมากว่าเราเป็นคนเชื่อมั่นกับความเต็มที่ทุกอย่าง แต่ทำไมทำไม่ได้ ตอนนั้นรู้สึกว่าถ้ามันเลวร้ายที่สุดก็คือเราตายไปกับเรื่องนี้ จนผมได้เปิดใจกับเด็กออทิสติกที่เป็นกลุ่มไฮฟังก์ชันกลุ่มหนึ่ง สุดท้ายที่ได้คาแรกเตอร์นี้คือฮึดสุดท้าย ที่ผมไม่ยอมแพ้ แล้วรู้สึกว่านี่คือเฮือกสุดท้ายแล้วจริงๆ โดยบอกกับตัวเองว่า ขอเถอะ เราอยากผ่านภูเขาลูกนี้ให้ได้ คำตอบกลับมาว่า ผมต้องเปลี่ยนอินเนอร์ตัวเองว่า ผมไม่ได้จะมาเข้าใจเด็กออทิสติก แต่วันนี้ผมคือคนที่อยากเป็นออทิสติก โดยไม่มีเหตุผล ผมจะทำทุกวิถีทางให้เป็นโรคนี้ให้ได้ จุดเปลี่ยนนี้ทำให้ผมไปคลิกอะไรบางอย่าง และพอมันได้แก่นแล้ว มันยาวเลย แน่นปึ้กเลย
สิ่งที่อยากบอกผ่านซีรีส์เรื่องนี้คืออะไร
อยากให้ทุกคนได้เห็นซีรีส์เรื่องนี้เป็นกระบอกเสียง อยากให้คนที่ดูซีรีส์เรื่องนี้ได้เห็นว่าเด็กออทิสติกเป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การที่คนจะให้เกียรติ และเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การที่ให้โอกาสเขาในสังคมได้สักที พี่ยิมในเรื่องแค่เป็นตัวแทนมุมมองแบบนี้เท่านั้น เพราะเด็กออทิสติกสามารถเข้าสังคมได้ แค่สังคมยอมรับเขา แต่ตอนนี้สังคมไม่ได้ยอมรับเขาเท่าที่ควร มีเพียงแค่คนกลุ่มหนึ่งที่ยอมรับเขา แต่แค่นั้นไม่พอ ถ้ามันไม่ใช่ทั้งหมด เพราะถ้าทั้งหมดมันถึงจะเท่ากับคนปกติ ตราบใดที่มันไม่ใช่ทั้งหมด ถึงจะเป็นคนจำนวนเยอะก็เถอะ แต่สุดท้ายมันก็วนกลับมาคำเดิม เป็นสิ่งที่เราอยากขอเป็นกระบอกเสียง ซึ่งสำหรับผมมันยิ่งใหญ่มาก ผมขอลองสักตั้ง ผมเป็นคนที่ตั้งใจทำงานมาตลอด สิ่งที่ผมทำมันสื่อถึงคนดูมาตลอด อยากรู้เหมือนกันว่า ครั้งนี้ยิ่งเป็นสิ่งที่ตั้งใจอย่างที่เคยตั้งใจมาก่อน มันจะไปได้แค่ไหน ผมอยากจะบอกว่า เด็กออทิสติกที่ผมไปอยู่ด้วยมา พวกเขามีมุมที่ดีและมุมที่สวยงาม แค่รอคนให้โอกาสเขา
@@ นอกจอของ “ต่อ”
ถ้าพูดถึง “ต่อ” ธนภพ ในวันนี้เติบโตจาก 4 ปีที่แล้วยังไง
ตอนนี้ผมรู้สึกชัดเจนว่า ผมได้เติบโตขึ้น ไม่ใช่ “ต่อ” ธนภพ คนเดิม ที่มาเป็นวัยรุ่น บทบาทการแสดงทุกบทบาททำให้ผมได้เรียนรู้และเติบโตไปกับมัน โดยเฉพาะบทพี่ยิมทำให้ผมมีมุมมองของคนที่อยากเป็นมืออาชีพ ความจริงจังในการทำงาน ความอินกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำ
คนบอกว่า “ต่อ” ติสต์
ผมพยายามแก้คำนี้มานานมากแล้ว คือผมไม่ได้ติสต์นะ ตอนที่ผมไม่เล่นโซเชียล แล้วบอกว่าที่ไม่เล่น เพราะไม่อยากเล่น คนก็บอกว่าผมติสต์ คือติสต์ตรงไหน ถ้าไม่อยากเล่นก็ไม่มี นี่พออยากเล่นผมก็มีไอจีไง แต่คนคิดไปเองว่าผมติสต์ ผมไม่ได้ติสต์เลย
@@ รักออกแบบได้ของ “ต่อ”
ความรักของ “ต่อ” เป็นยังไงบ้างตอนนี้
ก็ดีนะ ถามว่าผมรักษาความรักยังไงให้อยู่ได้จนทุกวันนี้ ผมว่ามันขึ้นอยู่ที่ความเข้าใจ วันนี้เรายังเข้าใจกันอยู่ ถ้าวันหนึ่งไม่เข้าใจกันแล้ว มันก็ต้องแยกจากกันไป ซึ่งผมเองไม่สามารถตอบได้ว่าทำไมผมถึงเข้าใจกันได้นานขนาดนี้ ผมเข้าใจเขา และเขาก็พยายามเข้าใจผมตลอด ถามว่าทำไมใช้คำว่าพยายาม เพราะต้องยอมรับว่า ทุกๆ ปีผมทำงานมาก็เจอเรื่องต่างๆ มากขึ้่นเรื่อยๆ มันเลี่ยงไม่ได้กับคำว่าพยายาม ตอนนั้นเราคิดว่าเขาพยายามแล้ว พอปีหน้าถัดมาเขาก็ต้องพยายามเพิ่มขึ้นอีก เมื่อเราเจอเรื่องอะไรมากขึ้นอีก ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาแข็งแรงจัง
โดยปกติ “ต่อ” เป็นคนโรแมนติกไหม
มาก (ยิ้มเจ้าเล่ห์) จริงๆ ผมก็ไม่ใช่คนที่โรแมนติกอะไรหรอก แต่ผมเป็นคนชอบเซอร์ไพรส์ ตอนสมัยมัธยมที่คบกัน ผมเคยไปยืนรอเขาหน้าโรงเรียนโดยที่ไม่บอก หรือตอนนี้ก็จะทำเซอร์ไพรส์ ซึ่งทุกครั้งที่ทำให้ ผมสุดตลอด ผมเป็นคนที่รักแบบวันต่อวัน ทุกวันที่ผมตื่นมา คือวันที่ผมเริ่มใหม่ตลอด ผมไม่ได้เหมือนวัยรุ่นสมัยนี้ ที่มานั่งนับวันครบรอบ ถ้าปัจจุบันมันไม่ดี วันข้างหน้าไม่มีทางดีแน่นอน แต่ถ้าเราทำทุกวันให้เป็นวันใหม่ มันจะได้เป็นวันดีในทุกๆ วัน
นี่แหละ!!! “ต่อ” ธนภพ ตัวจริง
ล้อมกรอบ
เขาคือ : “ต่อ” ธนภพ ลีรัตนขจร
เกิด : 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2537
การศึกษา : กำลังศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผลงานที่ผ่านมา : คลับ ฟายเดย์ เดอะซีรีส์ ซีซั่น 1 ตอน ครั้งหนึ่งในความทรงจำ...ทำไปได้ยังไง, ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น 1-2, ไอซียู พยาบาลพิเศษ..เคสพิศวง, โอเนกาทีฟ รัก-ออกแบบไม่ได้ ฯลฯ
ผลงานล่าสุด : โปรเจกท์ เอส เดอะซีรีส์ ตอน Side by Side
มาถึงหนุ่ม “สกาย” กับการแสดงในบท “น้องโด่ง” ที่แค่ตอนแรกก็ได้รับคำชมในพัฒนาการที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสกายบอกถึงชีวิตเขาในวันนี้ว่า
@@ พัฒนาการใหม่
“สกาย” กับบท “น้องโด่ง” ใน “Side by Side พี่น้องลูกขนไก่” เป็นไง
มันเป็นความท้าทายอีกแล้ว (หัวเราะ) ท้าทายเรื่องของการแสดง เพราะเป็นบทที่ยากอีกแบบหนึ่ง ผมได้ไปที่ศูนย์เด็กออทิสติกกับพี่ต่อด้วย พี่ต่อไปเรียนรู้กับเด็กออทิสติก ผมก็ไปเรียนรู้กับคุณครูที่ดูแล เขามีวิธีการจัดการกับเด็กออทิสติกยังไง สิ่งที่สำคัญที่สุด คือต้องใช้การเปิดใจยอมรับเขา และเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น จะคล้ายๆ กับที่ผมเล่นเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี ฮอร์โมนฯ จากการที่ไปดูทำให้เห็นว่าเด็กออทิสติกบางคนมีความสามารถมากๆ ซึ่งบางคนมีความสามารถมากกว่าเราด้วย เป็นพรสวรรค์ที่ทำให้เราทึ่งมาก
รู้สึกยังไงที่ได้ไปสัมผัสใกล้ชิดกับคนดูแลออทิสติก
พอเราได้เรียนรู้กับคุณครูที่ดูแลเด็กออทิสติก เรารู้สึกได้เลยว่าเขาใช้ใจ ผมนับถือคุณครูที่ดูแลเด็กออทิสติก เพราะเขามีความอดทนมากๆ บางคนที่ต้องมาทำหน้าที่ตรงนี้อาจจะทนไม่ไหว ไปแล้ว ไม่เอาแล้ว แต่คุณครูทุกท่านที่นั่นเขาทุ่มเท และส่วนใหญ่เป็นคนที่ทำงานที่นั่นมาตั้งแต่แรกๆ และทำมาจนถึงตอนนี้ เพราะว่าเป็นสิ่งที่เขารักและอยากทำ
ทำการบ้านหนักแค่ไหนกับบทนี้
ฝึกเรื่องของการพูด พูดทีละตัวอักษรและเริ่มมาเป็นประโยคมากขึ้น จริงๆ ไม่ได้ทำการบ้านเพราะเรื่องนี้ แต่ฝึกมาตั้งแต่เรื่องที่แล้ว ที่โดนด่าไป (หัวเราะ) ก็ฝึกมาตลอด ตอนอาบน้ำก็ฝึก คือเราเองก็หงุดหงิดตัวเราเองเหมือนกัน ที่พอพูดออกมาแล้วมันไม่ชัด ในฐานะนักแสดงเราก็ต้องทำให้ได้ เราก็พยายามปรับ ถามว่ากลัวไหมว่าคนยังจะสบประมาทเราอยู่ สำหรับผมแล้วอะไรก็ได้ เพราะว่าผมทำเต็มที่แล้ว ถามว่ามันผ่านไปแล้วหรือยัง ผมไม่เคยทำอะไรผ่าน (หัวเราะ) จริงๆ คำสบประมาทมันเป็นสิ่งที่กดดันผมมาตลอด และเป็นสิ่งที่ผมแบกมันมาตลอดเช่นกัน ความกดดันนั้น บางครั้งมันก็ทำให้เรากลัว กลัวว่าออกมาแล้ว คนดูจะชอบไหม ออกมาแล้วจะยังไง มันจะดีพอเท่าที่คนเขาคาดหวังหรือเปล่า แต่สำหรับผมแล้ว ผมพยายามทำมันอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นที่เหลือให้คนดูเป็นคนตัดสินเอาเอง ถามว่าพอทีเซอร์ออกไป จนถึงฉายตอนแรก กระแสออกมาดี แต่สำหรับผมมันเกิดความกลัว กลัวความคาดหวัง กลัวว่าเราจะทำความคาดหวังเขาไปได้จนสุดทางหรือเปล่า
การทำงานกับ “ต่อ” เป็นยังไง
เรามีการละลายพฤติกรรมก่อน ซึ่งเป็นการละลายพฤติกรรมในฐานะต่อกับสกาย ก่อนที่จะมาเป็นพี่ยิม-น้องโด่ง ซึ่งไม่ยากเลย ชิลๆ (หัวเราะ) อาจเพราะเราคุยกันรู้เรื่อง คือผมคุยกับพี่ยิมรู้เรื่อง แต่คุยกับพี่ต่อไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ) คือมีคนแซวผมเยอะมากว่า ผมควรไปเล่นบทพี่ยิม (ยิ้ม) แต่ด้วยความที่ผู้กำกับของเราชอบอะไรที่ท้าทาย ก็เลยเลือกให้ผมเล่นบทน้องโด่งแทน ซึ่งบทนี้ก็ทำให้ผมน้ำตาเล็ดเหมือนกัน ก็ร้องไห้พอๆ กันกับพี่ต่อเลย
@@ นอกจอของ “สกาย”
ชีวิตส่วนตัวของ “สกาย” เป็นยังไง เป็นคนพูดเก่งไหม
เมื่อก่อนผมเป็นคนไม่ค่อยพูด หรือแทบจะไม่พูดเลย คือเรียกว่าผมเป็นคนที่มีโลกส่วนตัว และกลัวที่จะก้าวออกไปมากกว่า มันเหมือนว่าเราอยู่ในโลกของเรามานาน มันไม่กล้าออกไปหาคนอื่น คือเรากลัวเข้ากับคนอื่นไม่ได้
โลกส่วนตัวของ “สกาย” ก่อนหน้านี้เป็นยังไง
ผมเป็นคนที่ชอบทำอะไรคนเดียว แล้วก็ชินกับการทำอะไรคนเดียว ทำให้เราไม่ค่อยเข้าหาคนอื่น แต่พอเรามาอยู่ตรงนี้ ความกลัวก่อนหน้านี้ที่เรามีก็ค่อยๆ หายไปทีละนิดทีละนิด เรียกว่าผมเองก็แทบไม่เชื่อว่าตัวเองจะมีวันนี้ (หัวเราะ) คือผมเคยเป็นคนไม่แคร์โลก ถึงขนาดที่ว่า ผมสามารถนั่งมองพัดลมในห้องตัวเองได้เป็นชั่วโมง มันเป็นความรู้สึกที่ว่าเราได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ได้ทบทวนตัวเอง ตอนนั้นเราเป็นแบบนั้นในบางครั้ง แต่ตอนนี้ไม่เป็นแล้วนะ (ยิ้ม) คือผมเป็นคนค่อนข้างกลัว กลัวคนอื่นมองเราไม่ดี จะค่อนข้างเกรงใจเวลาทำอะไร กลัวคนไม่โอเคกับเรา จริงๆ ผมเป็นคนแคร์คนอื่นมาก แต่คนอื่นไม่รู้ไงว่าเราแคร์
@@ รักของ “สกาย”
มีคนพิเศษแล้วหรือยัง
ยังไม่มี เพราะชอบอยู่คนเดียวไง (หัวเราะ) ก็มีคนคุยด้วยนิดหน่อย แต่ไม่ได้อะไร คือจริงๆ เหมือนคนไม่กล้าเข้ามาหาเรามากกว่า ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หรือเพราะว่าเราเป็นนักแสดง อันนี้ผมไม่รู้เหตุผลจริงๆ บางคนก็เหมือนกลัวที่จะเข้ามาหาเรา
เปิดใจไหมถ้ามีคนเข้ามา
มันเหมือนเราจะเลือกดูก่อน คือมันเหมือนกับเปิด โอเพ่นให้คนเข้ามา แต่เหมือนเราจะเลือกดูว่านิสัยเขาเป็นยังไง คือเราไม่ได้จะเปิด 100 เปอร์เซ็นต์ ให้ใครก็ได้เข้ามา เราลองดูก่อนว่าคนที่เข้ามา เขาเข้ามายังไง รู้สึกว่าถ้าเรามีแฟนก็อยากที่จะให้ตัวเราพร้อมจริงๆ เพราะถ้าเราไม่พร้อม เราก็ดูแลเขาไม่ได้ ดูแลตัวเองยังไม่ได้เลย (หัวเราะ)
เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งมุมของ “สกาย” จริงๆ
เขาคือ : “สกาย” วงศ์รวี นทีธร
เกิด : 25 มิถุนายน พ.ศ.2541
การศึกษา : กำลังศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผลงานที่ผ่านมา : เพื่อนเฮี้ยน..โรงเรียนหลอน, ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น ซีซั่น 3, I Hate You, I Love You
ผลงานล่าสุด : โปรเจกท์ เอส เดอะซีรีส์ ตอน Side by Side
เรื่อง : ณัฎฐิรา หลอดแก้ว
ภาพ : วริศรา วุฒิกุล