เติ้งจื้อก็ได้ไปช่วยโค่วหลันจือออกมาจากบ้านของสามีที่ต้องทนถูกรังแกมานาน
ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 05.00 น. / 23.10 น. ทางช่อง NOW26
Ban shuLegend No.35
ปันซูส่งหนังสือหาหลันจือ ซึ่งถูกสามีกับแม่สามีรังแก หลันจือได้แต่เก็บตัวร้องไห้
“โค่วหลันจือก่อนเจ้าไปยังมีแรงด่าข้าตอนนี้แต่งงานแล้วเจ้าจะยอมทนทำไมไม่ได้ติดค้างอะไรตระกูลเฉินทำไมจะต้องทนถ้าเจ้าไม่อยากอยู่ที่นั่นอีกก็จงอ่านหนังสือนี่ซะแล้วคิดหาวิธีเลิกกับไอ้คนเลวนั่นเจ้าจะได้หมดทุกข์เจ้าจะกลัวเสียหน้าไปทำไมถ้าเจ้ากล้าพอเราจะช่วยเจ้าเองปันชูและน้องชายเจ้าเรียนอยู่ราชสำนักโดนข้ารังแกถ้าเจ้าอยากแก้แค้นก็รีบกลับมา” หลันจือสะอื้น
นอกจากส่งหนังสือหาหลันจือแล้ว ปันซูยังบอกให้เติ้งไปช่วยหลันจือด้วย
เติ้งไปถึงบ้านเฉินเชี่ยนเอินสามีของหลันจือ ซึ่งกำลังจะบังคับให้หลันจือมอบที่ดินให้ ไม่งั้นก็จะเขียนจดหมายไล่ออกจากตระกูล แล้วประกาศให้ทั่วว่ามาหลอกแต่งงานกับเขา หลันจือฮึดสู้ขึ้นมาตบหน้า สามีจะเอาคืน พอดีเติ้งเข้ามาขวาง
“ตบเจ้าแล้วจะทำไม” เติ้งผลักเฉินเชี่ยนเอิน “โค่วหลันจือตอนที่เจ้ามายกเลิกการแต่งงานกับข้าช่างเก่งกาจนะทำไมวันนี้แค่หมาตัวหนึ่งเจ้ายังจัดการไม่ได้”
หลันจือตะลึงไป “ท่านมาได้ยังไง”
“ฮ่ะไม่ใช่เจ้าหรือที่เขียนจดหมายหาปันชูให้ส่งคนมาช่วย”
เฉินเชี่ยนเอินจะเอาเรื่อง “เจ้าเป็นใครกล้าบุกเข้ามาที่นี้”
เติ้งส่งดาบให้อ่าน “แหกตาของเจ้าดูให้ดีสิบนนี่เขียนว่าอะไร”
เฉินเชี่ยนเอินกับแม่อ่าน “เติ้ง…จื้อ”
เฉินเชี่ยนเอินมองเติ้ง “หรือว่าท่านคือแม่ทัพเติ้ง”
“ฉลาดใช่ได้นิ”
“ฮ่ะข้าน้อย ข้าน้อยไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพมาที่นี่ด้วยเรื่องอันใด” แม่รีบขอโทษ
“นางเป็นคนที่น้องข้ารู้จักวันนี้ที่ข้ามาก็เพื่อจะจัดการทำสัญญาให้เลิกรากับเจ้าข้าจะเป็นพยานให้เอง”
“เลิกเหรอ ข้าไม่เคยพูดว่าจะเลิกกับนาง”
“ฮ่ะเจ้าไม่เคยพูดอย่างงั้นเหรอรีบไปเอาหมึกมาน้องข้าจะเขียนสัญญารีบไปสิให้ข้าช่วยมั๊ย”
“ไม่ต้อง ไม่ต้องมี มี”
หลันจือเขียนหนังสือเสร็จก็ประทับนิ้ว ให้เฉินเชี่ยนเอินประทับด้วย เติ้งสั่งให้ไวแล้วลากมาคุยลำพังสองคน
“ข้ามีตำแหน่งสูงมีอำนาจ และยังเป็นแม่ทัพเจ้ารู้หรือไม่”
“ข้ารู้แล้ว รู้แล้ว”
“ดังนั้นอย่าให้ข้าได้ยินเจ้าพูดถึงตระกูลโค่วไม่ดีอีกไม่งั้นไม่ใช่แค่ชีวิตเจ้าแต่รวมถึงพ่อเจ้าด้วย”
“ข้าน้อยรับทราบข้าน้อยรู้แล้ว”
“ถ้างั้นพวกเราไปกันเถอะ”
พอเดินออกมาหน้าบ้าน หลันจือก็ว่า
“เอาละข้าเดินเองได้”
เติ้งเหวอ “ฮ่ะ เจ้าโกรธอะไรทีตอนจะโดนทำร้ายทำไมไม่เป็นแบบนี้ถ้าข้าไม่มา”
หลันจือสวน “ถึงท่านไม่มาข้าก็จะหาวิธีออกไปจากนรกนี่ให้ได้ที่ยอมช่วยข้ารู้สึกขอบคุณในความช่วยเหลือแต่ว่าอย่าคิดนะว่าช่วยข้าไว้แล้วจะมาด่าและขึ้นเสียงกับข้าได้ของของข้าเอามาหมดหรือยัง”
“อ่ะ ของที่มีอยู่ก็ขนมาหมดแล้วที่เอามาไม่ได้ก็เอาโฉนดมาแทนแล้ว”
หลันจือชม “ทำดีมากเมื่อกลับไปแล้ว ข้าจะมีรางวัลให้”
หลันจือขึ้นรถ เติ้งประชด “ข้าอุตส่าห์ขี่ม้าจาเมืองหลวงมานี่ตั้งห้าวันห้าคืนเพียงคำขอบคุณยังไม่มี”
ระหว่างทางหลันจือเอาแต่ร้องไห้ เติ้งได้ยินก็สงสารจะให้หยุดรถ แต่หลันจือว่าไม่ต้อง เขาส่งผ้าเช็ดหน้าให้
“ไทเฮามีรับสั่งเมื่อกลับถึงเมืองหลวงให้เจ้าเป็นอาจารย์ในราชสำนักเหมือนเดิมเจ้าล้มก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรข้าก็เคยรบแพ้ระยะทางกว่าจะถึงอีกไกลถ้าเจ้าอยากร้องไห้ก็ร้องให้พอ” หลันจือร้องไห้สะอื้น
เหล่าบัณฑิตอดทนไม่ไหวที่บัณฑิตหญิงได้เรียนนอกห้อง จึงมาหาปันซู
“แฮ่..อาจารย์หลายวันมานี้ ท่านพานักเรียนหญิงออกไปทำอะไรกันไม่เห็นอยู่ในวังดูน่าสนุกดี”
“ทำไมพวกเจ้าอยากออกไปเหรอ”
“ใช่แล้ว”
“ใช่อาจารย์”
“ใช่อ่าเรียนอยู่แต่ในวังน่าเบื่อจะตายได้ยินว่าท่านชอบพานักเรียนหญิงออกไปเรียนนอกวังแล้วเมื่อไรพวกเราจะได้ออกไปบ้าง”
หลิวหย่งต่อ “ใช่แล้วอาจารย์พวกเราก็อยากเรียนการต่อสู้บ้างจะให้ยอมแพ้ผู้หญิงได้ยังไง”
“ถูกต้อง ถูกต้อง”
“ใจเย็นๆข้าต้องสอนพวกเจ้าแน่ส่วนเรื่องอื่นก็จะสอนให้ที่จริงแล้ววันนี้ข้าจะพาพวกเจ้าออกไป”
“จริงเหรอจริงหรือเปล่าดีจริงๆ”
“เฮ้.. หยุดก่อนแต่ที่เราจะออกไปวันนี้มันทั้งยากทั้งเหนื่อยพวกเจ้าจะทนได้เหรอ”
“ฮ่ายไม่เป็นไรได้แน่ได้อยู่แล้ว”
ตู่จู่ว่า “อาจารย์ท่านพูดแบบนี้ได้ไงพวกเราเป็นผู้ชายไม่กลัวลำบากไม่กลัวเหนื่อยใช่มั๊ยพวกเรา”
“ใช่ๆๆ”
หลิวหย่งสวน“อาจารย์เราจะไปเมื่อไรกัน”
ปันซูให้บัณฑิตชายเรียนรู้วิธีการทำเกษตรทุกคนทำจนเหนื่อยแต่ไม่กล้าบ่น ปันซูเข้ามาหาฮ่องเต้ที่ดูเหนื่อยมาก มีโค่วเฟิงทำอยู่ด้วยข้างๆ
“ฝ่าบาททำไมไม่มีแรงแล้วหรือเพคะ เดี๋ยวคนอื่นจะหัวเราะนะเพคะ”
“ใครบอกว่าไม่มีแรงอึ่”
ปันซูเร่ง “ทำเร็วเข้า”
หลิวหย่งแทรก “อาจารย์ ทำไมพวกนักเรียนหญิงเก็บผลไม้แต่พวกเราต้องมาทำอย่างนี้ด้วย”
“ใช่แล้วทั้งเหม็นทั้งเหนื่อย”
ปันซูสวน“ทำไมพวกเจ้าบอกเองว่าไม่กลัวเหนื่อยไม่ใช่เหรอ”
หลิวหย่งปฏิเสธ “ไม่ได้กลัวเหนื่อยหรือลำบากแต่เราเป็นนักเรียนในวังทำไมต้องมาทำแบบนี้ด้วย”
“ข้าถามหน่อยถ้าเจ้าโตขึ้นแล้วไม่ได้เป็นแม่ทัพแล้วจะทำอะไร”
ตู้จู่ว่า “พวกเราก็จะไปเป็นเจ้าเมืองหรือไม่ก็เป็นขุนนางในราชสำนัก”
หลายคนเห็นพ้อง “ถูกต้องใช่ ใช่”
“ดีถ้าเป็นขุนนางจะต้องเชี่ยวชาญด้านการปกครองเมืองแต่เจ้าคิดว่าแค่เรียนในราชสำนักเรียนรู้คำสอนต่างๆบทกลอนประวัติศาสตร์การต่อสู้การรบจะทำให้พวกเจ้าเป็นได้ตามต้องการงั้นหรือ”
“ข้าเป็นฮ่องเต้ต่อไปพวกเขาก็เป็นขุนนางจะรู้เรื่องพวกนี้ไปทำไมแค่ดูจากรายงายที่ส่งมาก็พอแล้ว”
ปันซูแย้ง “แต่ถ้าในรายงานไม่บอกเรื่องจริงล่ะถ้ามาลองมาทำดูแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไนหนึ่งปีได้พืชผลเท่าไรการเก็บภาษีสิบห้าต่อหนึ่งถ้าไม่รู้ว่าได้เท่าไร จะรู้ได้ยังไงว่าต้องเก็บภาษีเข้าบ้านเมืองเท่าไรฝ่าบาทจะรู้ได้อย่างไรว่าคนๆนั้นโกงหรือไม่มากหรือน้อยเพียงใดและจะต้องแก้ไขอย่างไร”
“จริงด้วย จริงด้วย”
ตู่จู่ว่า “การปลูกผักก็ให้ความรู้เยอะนะ”
“ใช่แล้วเราจะต้องลงมือทำอย่างแท้จริง จะได้รู้ ขอถามหน่อยใครรู้บ้าง ว่าผักที่เรากำลังปลูกนี้ใช้เวลานานเท่าไรถึงจะเก็บได้”
“อ่อไม่รู้”
จูติงตอบ “เอ่อข้าได้ยินเขาพูดกันว่าใช้เวลาเดือนกว่าๆ”
“ดีลองคิดดูนะว่าถ้าพวกเจ้าทำงานอยู่ที่นี่เวลาเดือนกว่าๆพวกเจ้าจะเหนื่อยปวดเอวมือแตกเมื่อถึงตอนนั้นพวกเจ้าอาจรู้สึกว่าการปลูกก็ไม่เท่าไรนักรู้สึกว่างานกลางไร่นา เป็นงานคนชั้นล่าง”
“ใช่อ่า ใช่อ่า”
“จากนี้ไปพวกเจ้านอกจากจะเรียนในวังแล้วและยังได้เรียนรู้อย่างอื่นเพิ่มแต่ตอนนี้ข้าก็จะสอนให้พวกเจ้าได้เรียนรู้โลกที่กว้างมากขึ้นถึงได้พาพวกเจ้ามาปลูกผักให้นักเรียนหญิงเรียนทอผ้าเก็บผักผลไม้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้จำเป็นต้องทำได้ดีทุกอย่างแต่ว่า ควรจะรู้เอาไว้ต่อไปในภายหน้าพวกเจ้าจะรู้ถึงความลำบากของประชาชน”
ตู้จู่นำ “ฮ่ะขอบคุณอาจารย์ที่สั่งสอน”
เหล่าบัณฑิตพร้อมกัน “ขอบคุณอาจารย์ที่สั่งสอนขอบคุณอาจารย์ที่สั่งสอน”
ฮ่องเต้คล้อยตาม “ขอบคุณอาจารย์ที่สั่งสอน” เหลือโค่วเฟิงที่เมินหน้าหนี
หลี่หย่งว่า “อาจารย์ปันต่อไปพวกเราจะไม่บ่นแล้วพวกเราจะตั้งใจเรียนจะตั้งใจทำให้ดีจะเป็นขุนนางที่ดีให้ได้”
“นี่หลี่หย่งพ่อเจ้าก็เป็นขุนนางแล้วไม่ใช่เหรอ”
“มันเกี่ยวอะไรกับพ่อของข้ากันละไปไปๆ” เหล่าบัณฑิตหัวเราะปันซูหัวเราะ
ปันซูเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อขออนุญาตพาฮ่องเต้กับเพื่อนๆ ไปล่าสัตว์
“พานักเรียนออกนอกวังไปล่าสัตว์ข้าอนุญาตแต่ว่าฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ห้ามได้รับอันตรายเด็ดขาด”
“ไทเฮาเพคะฝ่าบาทก็ทรงเป็นเด็กคนหนึ่งพระองค์ก็ทรงอยากเล่นอยากลองเมื่อสองวันก่อนฝ่าบาทกับนักเรียนชายปลูกผักดูจริงจังมากนอกจากติดบรรทมกลางวันข้อเสียอย่างอื่นก็ไม่มีการออกไปเรียนรู้ด้วยตัวเองก็ดีกว่าอ่านหนังสืออยู่แต่ในห้องเรียนหม่อมชั้นคิดว่า”
ไทเฮาสวน“เอาละๆอย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้านะตกลงกับพวกนักเรียนไว้แล้วก็เลยกลัวว่าข้าจะไม่อนุญาต”
“ไทเฮาทรงรู้”
“เจ้าพานักเรียนไปเรียนรู้การเกษตรข้าก็สนับสนุนเจ้าพูดถูกฝ่าบาทก็เป็นเด็กคนหนึ่งปล่อยให้ได้ไปเที่ยวเล่นบ้างครั้งที่แล้วฟังคำเจ้าข้าไม่ค่อยเข้มงวดกับฝ่าบาทฝ่าบาททรงเชื่อฟังข้ามากขึ้นแต่ก็น่าแปลกนักเจ้าก็ยังไม่ได้แต่งงานมีลูกแต่ทำไมเข้าใจความคิดของเด็กมากกว่าข้าเสียอีก”
“ขอบพระทัยที่ทรงชมหม่อมฉันก็เกิดและโตนอกเมืองเด็กผู้ชายถ้าอยากให้เชื่อฟังเราจะต้องรู้นิสัยก่อนดูอย่างฝ่าบาททุกวันเอาแต่เล่นเหมือนเด็กชอบดื้อรั้นไม่ฟังอะไรจะรับมือกับเขาจะต้องตีให้หลาบจำแล้วค่อยปลอบโยนหม่อมฉันสั่งสอนฝ่าบาทพระองค์ทรงค่อยปลอบโยนค่อยเอาเครื่องเสวยที่ทรงชอบให้อนุญาตให้ไปเล่นพอนานวันฝ่าบาทก็จะทรงโอนอ่อนตามไทเฮาพระองค์จะเสียเปรียบก็ตรงที่ไม่ทรงเคยเลี้ยงเด็ก”
หมิงกงจ่างปราม “อาจารย์ปัน”
ปันซูรู้ตัว “หม่อมฉันบังอาจได้โปรดลงโทษด้วย”
“ฮึ่ไม่เป็นไรนี่เป็นตำหนักของข้าไม่มีคนนอกเจ้าพูดถูกข้าเสียเปรียบตรงที่ไม่เคยมีลูกมาก่อนคิดเองตามที่ได้อ่านหนังสือมาว่าวิธีการดูแลเด็กจะต้องเข้มงวดให้มากเกือบจะเลี้ยงฮ่องเต้ให้กลายเป็นศัตรูเพราะไม่มีใครกล้าบอกแม้แต่อาหมิงก็ยังไม่กล้าบอกข้าฮึ่ถ้าวันนี้ไม่เป็นเพราะเจ้าแล้วฟังคำคนอื่นคงจะไม่ดีแน่คงทำให้เสียคน”
“ไทเฮาฝ่าบาทยังไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ก็ดีกว่าแต่ก่อนเยอะ”
“ฮึ่ข้าคิดดีแล้วขอแค่มีเจ้าอยู่ใกล้ๆคอยดูแลฝ่าบาทข้าก็สบายใจพวกเจ้าจะไปล่าสัตว์ก็ไปเถอะแต่ต้องดูแลฝ่าบาทให้ดี”
“เพคะ”
“เจ้าออกไปก่อนเมื่อถึงตอนนั้นข้าจะให้แม่ทัพฮั่วไปคอยดูแลความปลอดภัย”
“ขอบพระทัยไทเฮาฮึ่ๆ”
จบตอนที่ 35
ข่าวที่เกี่ยวข้อง